คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 918/2490

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยรื้อเรือนส่วนหนึ่งของโจทก์ไป ขอให้ลงโทษฐานทำให้เสียทรัพย์ จำเลยรับว่ารื้อจริง แต่จำเลยปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างนั้นไว้ เมื่อเลิกเช่าจึงรื้อไปตามที่ตกลงไว้ ดังนี้ เป็นการต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่าตนเป็นเจ้าของและมีสิทธิจะรื้อไป ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างให้ลงโทษปรับจำเลยโดยฟังว่าจำเลยไม่มีสิทธิรื้อแล้ว คู่ความจะฎีกาต่อไปไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 3 กับพวกอีกคนหนึ่ง งัดฝาเรือน กับพื้นห้องและเพิงหลังบ้านของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายคิดเป็นเงิน 2,000 บาท ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 324, 63

นางกิมยี้ จำเลยต่อสู้ว่า เดิมนางกิมยี้เช่าแผงลอยของบิดาโจทก์อยู่ ได้ตกลงกับบิดาโจทก์ปลูกสร้างเพิงหลังบ้านขึ้นเป็นส่วนตัวเมื่อเลิกเช่า นางกิมยี้จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไป บิดาโจทก์ยินยอมและรับว่าได้ใช้นายบุญญา นายดำ รื้อจริง

นายบุญญา นายดำ จำเลยรับว่ารื้อจริง โดยนางกิมยี้เจ้าของให้รื้อ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยย่อมรู้ดีว่าสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยทำขึ้น จำเลยจะรื้อถอนเอาไปไม่ได้จำเลยจึงมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 324

นายบุญญา นางกิมยี้ จำเลยฎีกาคัดค้านเป็นข้อกฎหมายว่า การรื้อนั้นผู้กระทำจะต้องมีเจตนาแกล้ง จึงจะเป็นผิด แต่จำเลยไม่มีเจตนาแกล้งโจทก์

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อต่อสู้ของนางกิมยี้จำเลยเป็นการต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่าตนเป็นเจ้าของและมีสิทธิรื้อไปโดยตกลงไว้กับบิดาโจทก์ ส่วนนายบุญญาจำเลยก็ต่อสู้ว่าไม่ทราบว่าเป็นของโจทก์ดังนี้ แสดงให้เห็นว่าเป็นคดีข้อเท็จจริง ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างให้ลงโทษปรับจำเลย คู่ความจะฎีกาต่อไปไม่ได้

Share