คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1286/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนจากผู้ยึดถือทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยมิชอบ โจทก์ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 มิใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด จึงไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 และในการฟ้องคดีใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนดังกล่าว ไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์ใช้สิทธิเช่นนี้ เว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 1 และที่ 2 เดิมเป็นพนักงานของโจทก์ ตำแหน่งผู้จัดการและหัวหน้างานการตลาด ตามลำดับ จำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1ยอมรับผิดโดยไม่จำกัดจำนวนและยังได้จำนองที่ดินเป็นประกันด้วยจำเลยที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ยอมรับผิดโดยไม่จำกัดจำนวน จำเลยที่ 5 เป็นภรรยานายล้วน มัณฑรัตน์นายล้วนได้จำนองที่ดินเป็นประกันการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2ต่อมานายล้วนตาย จำเลยที่ 5 ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายล้วนต้องรับผิดต่อโจทก์ เมื่อต้นปี พ.ศ. 2527 ผู้สอบบัญชีสหกรณ์ตรวจสอบบัญชีของโจทก์แล้วปรากฏว่าเครื่องจักรกลการเกษตรขนาด 10 แรงม้ายี่ห้อยันม่า จำนวน 2 เครื่อง ขาดบัญชี ราคารวม 63,000 บาทโจทก์ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ได้ความว่า จำเลยที่ 1และที่ 2 ทุจริตยักยอกเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตน ขอให้จำเลยที่ 1และที่ 2 ร่วมกันคืนเครื่องจักรกลดังกล่าวแก่โจทก์ หากไม่คืนก็ให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ชดใช้แทน และหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 63,000 บาท หากไม่ใช้ราคาขอให้บังคับเอากับทรัพย์จำนองหากบังคับจำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ 3 เอาเงินชำระคืนแก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 ไม่ได้ทุจริตยักยอกจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพราะได้มีการทำสัญญาจำนองและตกลงยกเลิกสัญญาค้ำประกันไปแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ให้การและแก้ไขคำให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ โจทก์ผ่อนเวลาให้จำเลยที่ 2 ทำให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 หลุดพ้นความรับผิด และฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 เป็นฟ้องซ้อน ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 5 ถึงแก่กรรม นางเอี่ยม ภาตะนันท์ทายาท จำเลยที่ 5 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ไม่เป็นฟ้องซ้อน โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้โดยชอบ จำเลยทั้งห้าต้องรับผิดต่อโจทก์ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันคืนเครื่องจักรกลการเกษตรยี่ห้อยันม่า ขนาด 10 แรงม้า จำนวน2 เครื่อง ของโจทก์ตามฟ้องแก่โจทก์ หากไม่คืนหรือคืนไม่ได้ด้วยประการใด ๆ ก็ให้ใช้ราคาจำนวน 63,000 บาท หากไม่คืนหรือไม่ใช้ราคาก็ให้จำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันชดใช้ราคาแทน และหากจำเลยดังกล่าวไม่คืนหรือไม่ใช้ราคาหรือใช้ราคาไม่ครบก็ให้บังคับจำนองโดยเอาทรัพย์จำนองที่จำเลยที่ 3 และนายล้วน มัณฑรัตน์ จำนองไว้ต่อโจทก์ตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินมาใช้ราคาให้โจทก์ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การมอบอำนาจของโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม แต่คดีโจทก์ขาดอายุความ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฟ้องนั้นเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ยึดถือทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยมิชอบ โจทก์ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 มิใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด จึงไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 และในการฟ้องคดีใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนจากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1336 ไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์ใช้สิทธิเช่นนี้ เว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 348/2526 ระหว่างบริษัทแฟดเดอร์มาร์เก็ทติ้ง เซอร์วิส ฯจำกัด โจทก์ นายพิสิฐ ศรีธนาธิวัฒน์กุล กับพวก จำเลย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น เนื่องจากศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยประเด็นสำคัญของคดี เพื่อให้เป็นไปตามลำดับชั้นของศาล ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นที่ยังมิได้วินิจฉัยต่อไป”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาประเด็นที่ยังมิได้วินิจฉัย แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share