แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคแรกนั้น อาจเกิดขึ้นในขณะกู้ยืมเงินกันหรือภายหลังจากนั้นก็ได้ บันทึกคำให้การพยานที่จำเลยเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญาว่า จำเลยกู้เงินจากโจทก์คดีนี้จริงและยังมิได้ชำระหนี้คืนนั้น เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ ใช้ฟ้องร้องบังคับคดีแก่จำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน 90,000 บาทและดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ไม่เคยกู้เงินโจทก์ การกู้ยืมไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 90,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่11 กันยายน 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่าจำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน 90,000 บาท โดยไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือ ต่อมาจำเลยเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 1412/2527 ของศาลอาญาธนบุรีว่า จำเลยกู้เงินจำนวนดังกล่าวจากโจทก์คดีนี้จริงและยังมิได้ชำระหนี้คืนปรากฏตามภาพถ่ายคำให้การพยานเอกสารหมาย จ.7 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าเอกสารหมาย จ.7 ใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้หรือไม่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคแรก บัญญัติว่า”การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” ศาลฎีกาเห็นว่าหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมที่จะนำมาฟ้องคดีนั้นอาจเกิดขึ้นในขณะกู้ยืมเงินกันหรือภายหลังจากนั้นก็ได้สำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้จากจำเลยโดยอาศัยคำให้การพยานที่จำเลยเบิกความไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 1412/2527 ของศาลอาญาธนบุรี เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม คำให้การพยานเอกสารหมาย จ.7 ดังกล่าวซึ่งจำเลยให้การด้วยความสมัครใจเอง จึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือใช้ฟ้องร้องบังคับคดีแก่จำเลยได้เมื่อจำเลยยังมิได้ชำระหนี้เงินกู้ยืม จำเลยต้องรับผิดใช้คืนแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
พิพากษายืน