แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลพิพากษาให้จำเลยในฐานะผู้รับมรดกของ ป. ชำระค่าจ้างว่าความจากกองมรดกของ ป. ให้โจทก์ โจทก์นำยึดตึกซึ่งเป็นของจำเลยกับภริยาโดยอ้างว่าจำเลยได้รับมรดกของ ป. ไป คือ ที่ดินโฉนดที่ 5813 ซึ่งมีราคามากกว่า หนี้ตามคำพิพากษา จำเลยจึงต้องรับผิดใช้หนี้แก่โจทก์ และโจทก์รับว่าที่ดินโฉนดนี้มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ แม้จำเลยกับภริยาจะแถลงรับว่าจำเลยกับ ป. ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมยกที่ดินนี้ให้ ภ. แล้วจำเลยได้ขายไปเสีย แต่จำเลยก็ได้โต้แย้งว่าเป็นที่ดินของจำเลยเองที่ยินดีสละให้แก่ ภ. ไม่ใช่ทรัพย์ของ ป. และไม่ใช่มรดกของ ป. ในขณะที่ ป. ตาย ดังนี้ เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานก็ไม่มีทางจะฟังได้ดังโจทก์อ้างว่าที่ดินนี้เป็นมรดกของ ป. ศาลย่อมพิพากษาให้ถอนการยึด
ย่อยาว
เนื่องจากศาลฎีกาได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสามในฐานะผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของนางเปี่ยม โชติกะเสถียร ชำระค่าจ้างว่าความจากกองมรดกของนางเปี่ยมให้แก่โจทก์ 20,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำยึดตึกเลขที่ 23 ของจำเลยที่ 3 เพื่อบังคับชำระหนี้
จำเลยที่ 3 กับนางภัทรา โชติกะเสถียร ภริยายื่นคำร้องว่าทรัพย์มรดกของนางเปี่ยมตามพินัยกรรมนั้นนางเปี่ยมได้จำหน่ายจ่ายโอนไปหมดก่อนถึงแก่กรรม ตึกนี้สร้างขึ้นด้วยเงินส่วนตัวของนางภัทราก่อนสมรสกับจำเลยที่ 3จึงเป็นสินเดิมของผู้ร้อง ขอให้ถอนการยึด
โจทก์ให้การเป็นใจความว่า จำเลยที่ 3 ได้รับมรดกจากนางเปี่ยมไปแล้วมีราคามากกว่าจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาเต็มจำนวนให้โจทก์ทรัพย์ที่ยึดมาไม่ใช่สินเดิมของผู้ร้อง แต่เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 3 กับผู้ร้อง
วันสืบพยานโจทก์ โจทก์แถลงรับว่าตึกเลขที่ 23 ที่ยึดมาไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนางเปี่ยมจริง แต่จำเลยที่ 3 ได้รับมรดกของนางเปี่ยมไป คือ ที่ดินโฉนดที่ 5813 ซึ่งมีราคามากกว่าจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาจึงต้องรับผิดใช้หนี้แก่โจทก์ หลักฐานที่แสดงว่าที่ดินโฉนดที่ 5813 เป็นมรดกของนางเปี่ยมก็คือนางเปี่ยมเคยเข้าหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 3 ประมูลซื้อที่ดิน เมื่อซื้อแล้วได้โอนใส่ชื่อจำเลยที่ 3 รวมทั้งที่ดินโฉนดที่ 5813 ด้วย ต่อมานางเปี่ยมตั้งโจทก์เป็นทนายฟ้องเรียกเงินส่วนแบ่งในการเป็นหุ้นส่วนจากจำเลยที่ 3 แล้วนางเปี่ยมถอนฟ้องไป โดยนางเปี่ยมกับจำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนอกศาลเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2504 ว่านางเปี่ยมยอมรับเงินจากจำเลยที่ 3 เพียงหนึ่งแสนบาท ส่วนที่ดินโฉนดที่ 5813 ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 3เป็นเจ้าของนั้นให้จำเลยที่ 3 โอนใส่ชื่อหลวงอรรถกัลยาวินิจไว้แทนชั่วคราวเพื่อโอนให้เด็กหญิงภัทราภา โชติกะเสถียร เมื่อนางเปี่ยมตายแล้วหรือเมื่อเด็กหญิงภัทราภามีอายุครบ 20 ปี ต่อมานางเปี่ยมฟ้องเรียกส่วนแบ่งมรดกพระยาวิสูตรฯ จากจำเลยที่ 3 อีก 2 ล้านบาท ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมลงวันที่ 15 สิงหาคม 2504 นั้น และให้จำเลยที่ 3 ใช้เงินแก่นางเปี่ยม 30,000 บาทที่ยังค้างอยู่ ซึ่งจำเลยที่ 3ได้ชำระเสร็จไปแล้วนางเปี่ยมตายเมื่อ พ.ศ. 2506 ที่ดินโฉนดที่ 5813 จำเลยที่ 3 ยังมิได้โอนใส่ชื่อหลวงอรรถกัลยาวินิจตามสัญญา แต่ต่อมาจำเลยที่ 3 ขายไปเป็นเงิน 80,000 บาท เมื่อ พ.ศ. 2510 เด็กหญิงภัทราภาขณะนี้อายุ 24 ปี และสมรสเมื่อ พ.ศ. 2509 ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวมา โจทก์ถือว่าที่ดินโฉนดที่ 5813 เป็นมรดกของนางเปี่ยมเมื่อจำเลยที่ 3 เอาไปขายก็มีผลเท่ากับจำเลยที่ 3 ได้รับมรดกนางเปี่ยมไปเท่าราคาที่ขาย
ผู้ร้องแถลงว่า นางเปี่ยมกับจำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยกที่ดินโฉนดที่ 513 ให้เด็กหญิงภัทราภาจริง แต่เป็นที่ดินของจำเลยที่ 3 ที่ยินดีสละให้แก่เด็กหญิงภัทราภา จะถือว่าเป็นทรัพย์มรดกของนางเปี่ยมไม่ได้เพราะไม่ใช่ทรัพย์ของนางเปี่ยมในขณะตาย แต่เป็นของเด็กหญิงภัทราภา จำเลยที่ 3 ขายไปโดยความยินยอมของนางภัทราภาเจ้าของทรัพย์ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว และผู้ร้องรับว่าตึกเลขที่ 23 เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 3 กับนางภัทราผู้ร้อง
ประเด็นเรื่องที่ดินโฉนดที่ 5813 เป็นมรดกของนางเปี่ยมหรือไม่ คู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยไปตามข้อเท็จจริงที่ต่างแถลงมาแล้วโดยต่างไม่ติดใจสืบพยานต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนการยึดตึกเลขที่ 23 คืนให้ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสามในฐานะผู้รับมรดกนางเปี่ยมชำระค่าจ้างว่าความจากกองมรดกของนางเปี่ยมให้โจทก์ ฉะนั้น โจทก์จะบังคับคดีเอาชำระหนี้ได้แต่เฉพาะทรัพย์ที่เป็นมรดกของนางเปี่ยมหรือเพียงเท่าที่ทายาทคนใดได้รับทรัพย์มรดกไปเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1734 และ 1738 วรรค 2 ตึกที่โจทก์นำยึดนี้ โจทก์แถลงรับว่ามิใช่มรดกของนางเปี่ยม จึงเหลือปัญหาเพียงว่าที่ดินโฉนดที่ 5813 เป็นมรดกของนางเปี่ยมที่จำเลยที่ 3 ได้รับมรดกไปจริงดังที่โจทก์อ้างหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบพิสูจน์ก่อนเพราะโจทก์แถลงรับว่าที่ดินนี้มีชื่อจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เมื่อโจทก์อ้างว่าที่ดินโฉนดนี้เป็นมรดกของนางเปี่ยม แม้จำเลยที่ 3 กับนางภัทราผู้ร้องจะแถลงรับว่าจำเลยที่ 3 กับนางเปี่ยมได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยกที่ดินโฉนดนี้ให้เด็กหญิงภัทราภาจริงก็ตาม แต่ก็ได้แถลงโต้แย้งว่าเป็นที่ดินของจำเลยที่ 3 เองที่ยินดีสละให้แก่เด็กหญิงภัทราภา ไม่ใช่ทรัพย์ของนางเปี่ยมและไม่ใช่มรดกของนางเปี่ยมในขณะตาย คำแถลงของจำเลยที่ 3 กับนางภัทราผู้ร้องเป็นการปฏิเสธข้ออ้างตามคำแถลงของโจทก์ที่ว่าที่ดินโฉนดที่ 5813 เป็นมรดกของนางเปี่ยมที่จำเลยที่ 3 ได้รับไป เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน คงขอให้ศาลวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ต่างแถลงกันข้างต้นก็ไม่มีทางที่จะถือเอาได้ดังที่โจทก์อ้างว่าที่ดินโฉนดนี้เป็นมรดกของนางเปี่ยมที่จำเลยที่ 3ได้รับและขายไปแล้ว โจทก์ไม่อาจชนะคดีได้ และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นในปัญหานี้ต่อไป
พิพากษายืน