แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินและรับเงินกู้ไปจากโจทก์ แล้วโจทก์นำสืบว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อเชื่อสิ่งของบ้าง ยืมเงินก่อนวันทำสัญญากู้บ้างยืมในวันทำสัญญากู้บ้าง แล้วรวมทำเป็นสัญญากู้เงินจำนวนตามฟ้องดังนี้ เป็นการนำสืบถึงความเป็นมาแห่งหนี้ตามสัญญากู้ ไม่เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารสัญญากู้ และไม่เป็นการสืบนอกฟ้องนอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ ๒๐,๐๐๐ บาทตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่กู้ไปแล้วจำเลยไม่เคยชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ๒๓,๑๒๘ บาทกับดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในเงินต้น ๒๐,๐๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญากู้และรับเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทจากโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้น ๒๐,๐๐๐ บาทกับดอกเบี้ยรวมเป็น ๒๓,๑๒๘ บาท และชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน๒๐,๐๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไปจริง และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ แต่นำสืบว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อเชื่อสิ่งของบ้าง ยืมเงินบ้าง รวมเป็นเงิน ๑๒,๓๐๐ บาทวันทำสัญญากู้ฉบับพิพาท จำเลยยืมเงินอีก ๘,๐๐๐ บาท จึงทำสัญญารวมกันเป็น ๒๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยขอลด ๓๐๐ บาทนั้นเป็นการสืบพยานบุคคลแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในสัญญากู้เงิน เป็นการสืบนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลฎีกาเห็นว่า การนำสืบของโจทก์ดังกล่าวเป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งหนี้ตามสัญญากู้เงินที่ทำกันไว้ว่าเป็นมาอย่างไรย่อมมิใช่เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารสัญญากู้ เพราะแม้สืบได้ก็ไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขความรับผิดตามเอกสารนั้น และหาเป็นการสืบนอกประเด็นไปจากคำฟ้องไม่
พิพากษายืน