คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุ จำเลยกับผู้ตายขับขี่รถจักรยานยนต์ของกลางคนละคันมุ่งหน้าจะไปทางจังหวัด กำแพงเพชร โดย จำเลยลวงผู้ตายว่า มีผู้สนใจจะซื้อรถจักรยานยนต์ของกลาง เมื่อถึง บริเวณสถานที่ เกิด เหตุ จำเลยได้ ใช้ อาวุธปืนที่มีและพกพาติด ตัว ไปยิงผู้ตายในลักษณะจ่อยิงด้านหลังประชิดตัว ผู้ตาย แล้วลากศพผู้ตายไปทิ้งในป่า นำรถจักรยานยนต์ไปซ่อน ไว้ ปรากฏจากภาพถ่ายสภาพศพประกอบรายงานการชันสูตร พลิก ศพว่า มีรอยกระสุนปืนลูกซอง 1 นัดเข้าเป็นกลุ่มตรง บริเวณกลางหลังด้านขวาของผู้ตาย เป็นร่องรอยของการใช้ อาวุธปืนลูกซองยิงในระยะประชิดตัว ซึ่ง การยิงในลักษณะเช่นนี้ จำเลยจะต้อง มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับผู้ตาย ทั้งก่อนเกิดเหตุขณะที่อยู่บ้าน นาย ฉ. ก็ไม่ปรากฏว่า จำเลยมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้ง กับผู้ตายแต่ อย่างใดเลย เช่นนี้ จึงเชื่อ ได้ ว่าก่อนเกิดเหตุคดีนี้จำเลยได้ วางแผนตระเตรียมการที่จะฆ่าผู้ตายไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว สาเหตุเพราะผู้ตายแบ่งเงินจากการขายรถจักรยานยนต์ที่ลักมาให้จำเลยน้อยและพูดจาดูถูก จำเลยเสมอดัง ที่จำเลยให้การรับสารภาพไว้ต่อ ร้อยตำรวจโท ส. ตามบันทึกคำให้การของจำเลย คดีจึงรับฟังได้ ว่าจำเลยได้ ฆ่าผู้ตายโดย ไตร่ตรอง ไว้ก่อน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,91, 289, 371 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72 วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสองคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่แก้ไขแล้ว โดยลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289ลงโทษประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคแรก จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 6 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้จำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52(1) ที่แก้ไขแล้วฐานมีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 4 เดือนรวม 3 กระทง คงให้จำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91(3) ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยได้ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ ในข้อนี้เห็นว่าแม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์ในขณะที่คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย และใช้ของแข็งไม่มีคมตีทำร้ายผู้ตายมาสืบก็ตาม แต่โจทก์มีนายเฉลิม ศิลาพันธ์ มาเบิกความเป็นพยานแวดล้อมกรณีก่อนเกิดเหตุว่า ในวันเกิดเหตุผู้ตายกับจำเลยต่างขับขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิสีแดงคนละคันมาที่บ้านของพยานและได้ร่วมกันรับประทานอาหารและดื่มสุรากันจนกระทั่งเวลาประมาณ15.30 นาฬิกา จำเลยและผู้ตายจึงพากันขับขี่รถจักรยานยนต์ออกไปจากบ้านพยาน หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ก็มีเสียงอาวุธปืนดังขึ้น 1 นัด จากทางด้านทิศตะวันออกของบ้านพยาน เมื่อทราบว่ามีเหตุยิงกันตาย พยานจึงมองไปที่บริเวณป่างาห่างจากบ้านพยานประมาณ 100 เมตร ก็พบเห็นคนอยู่ในลักษณะคล้ายลากของอยู่ในป่างาดังกล่าว พยานได้รีบแจ้งเหตุให้นายลือนาม อินทพรต ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ตำบลตาขีด อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ทราบจากนั้นพยานและนายลือนามได้พากันไปดูที่ป่างาจึงพบศพผู้ตายถูกยิงนอนตายอยู่ในป่างาบริเวณที่พยานเห็นคนคล้ายกำลังลากของอยู่ดังกล่าว นายลือนามจึงแจ้งเหตุทางวิทยุสื่อสารให้ร้อยตำรวจตรีโชติชัยประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอบรรพตพิสัยทราบ เมื่อร้อยตำรวจตรีโชติชัยมาถึงที่เกิดเหตุพยานได้แจ้งเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ตายและจำเลยมาที่บ้านพยานก่อนเกิดเหตุดังกล่าวให้ทราบ ร้อยตำรวจตรีโชติชัยสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ฆ่าผู้ตาย จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจออกติดตามจับกุมจำเลย และมีนายผจญ อินทพรต กับนายเสวกเกษรเกิด มาเบิกความเป็นพยานแวดล้อมกรณีหลังจากเกิดเหตุว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 16 นาฬิกา จำเลยได้นำรถจักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิสีแดง 1 คันไปฝากนายผจญ ขณะที่นายผจญกำลังขับรถไถอยู่บนถนนลูกรัง ภายในบริเวณหมู่ที่ 2 ตำบลตาขีด ห่างจากบ้านนายเฉลิมทางทิศตะวันออกประมาณ 3 กิโลเมตร โดยอ้างว่าน้ำมันรถจักรยานยนต์หมด และขณะที่นายเสวกขับขี่รถจักรยานยนต์ไปตามถนนสายบรรพตพิสัย-ขาณุวรลักษบุรี เพื่อจะไปซื้ออะไหล่รถไถที่ตลาดตาขีด พบจำเลยเดินออกมาจากทางวัดสังขวิจิตร นายผจญเห็นว่ารถจักรยานยนต์ที่จำเลยนำมาฝากไว้เป็นรถจักรยานยนต์ที่ไม่มีใครใช้ในหมู่บ้าน สงสัยว่าจำเลยจะได้รถจักรยานยนต์มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงได้รีบนำเรื่องไปแจ้งให้นายลือนามทราบต่อมาเจ้าหน้าที่จึงได้ยึดเอารถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไว้เป็นของกลาง โดยโจทก์มีนายลือนาม อินทพรต กับร้อยตำรวจตรีโชติชัยและร้อยตำรวจโทสมนึก สุวรรณฤทธิ์ พนักงานสอบสวนมาเบิกความเป็นพยานยืนยันถึงเรื่องดังกล่าวนี้ และเบิกความเป็นพยานยืนยันว่าในวันเกิดเหตุ เมื่อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ ก็นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำการจับกุมตัวจำเลยได้ที่บ้านนายเยื้องกระต่ายขาว ทันที พร้อมกับยึดรถจักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิสีแดงได้เป็นของกลาง ทั้งจำเลยยังนำไปยึดรถจักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิสีแดงคันที่นำไปฝากนายผจญไว้เพิ่มอีก 1 คัน จากนั้นจำเลยก็พาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปงมอาวุธปืนที่ใช้ยิงผู้ตายได้จากบริเวณริมแม่น้ำปิง พยานโจทก์ต่างก็เบิกความสอดคล้องต้องกัน นับตั้งแต่เวลาเกิดเหตุจนกระทั่งติดตามจับกุมตัวจำเลย และยึดของกลางในคดีนี้ได้ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปในทันที จึงเชื่อว่าพยานโจทก์ต่างไม่มีเวลามาเสริมแต่งข้อเท็จจริงต่าง ๆ ดังกล่าวขึ้นเพื่อใช้เบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน หากจำเลยกับผู้ตายมิได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปรับประทานอาหารและดื่มสุราอยู่ที่บ้านของนายเฉลิมแล้ว นายเฉลิมก็คงไม่สามารถให้รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวจำเลยและผู้ตายแก่นายลือนามและร้อยตำรวจตรีโชติชัยได้เป็นอย่างดี จนเป็นเหตุให้ร้อยตำรวจตรีโชติชัยกับพวกสามารถติดตามจับกุมจำเลยได้ในทันทีพร้อมกับยึดรถจักรยานยนต์ตามที่นายเฉลิมแจ้งให้ทราบได้เป็นของกลางจำเลยเองก็เบิกความเจือสมกับพยานโจทก์ปากนายเฉลิมว่าในวันเกิดเหตุจำเลยได้ไปที่บ้านนายเฉลิมจริง นอกจากนี้เมื่อพิเคราะห์จากภาพถ่ายสภาพศพของผู้ตายตามภาพถ่ายหมาย จ.13 ภาพล่างประกอบกับรายงานชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.3 แล้ว เห็นว่ามีรอยกระสุนปืนลูกซอง 1 นัด เข้าเป็นกลุ่มตรงบริเวณกลางหลังด้านขวาของผู้ตาย จึงเป็นร่องรอยของการใช้อาวุธปืนลูกซองยิงในระยะประชิดตัว ซึ่งการยิงในลักษณะเช่นนี้คนร้ายที่ยิงจะต้องมีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับผู้ตาย ดังนั้น การที่จำเลยกับผู้ตายพากันออกจากบ้านนายเฉลิมไปด้วยกัน จำเลยย่อมมีโอกาสที่จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในลักษณะเช่นนี้ได้มาก ในชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้ใช้อาวุธปืนลูกซองพกขนาด 12 ซึ่งเป็นอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนของนายทะเบียนอาวุธปืนประทับไว้ยิงผู้ตายจริง ปรากฏตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.6 และพาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปงมอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวได้จากริมแม่น้ำปิงทันที ซึ่งผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่า ปลอกกระสุนปืนที่อยู่ในอาวุธปืนที่งมได้กับปลอกกระสุนปืนที่ใช้ยิงเปรียบเทียบจากอาวุธปืนดังกล่าวมีรอยเข็มแทงชนวนตรงกันเชื่อได้ว่าปลอกกระสุนปืนของกลางที่งมได้ใช้ยิงมาจากอาวุธปืนของกลางจริง และในชั้นสอบสวนก็ปรากฏว่ารถจักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิสีแดงคันที่ผู้ตายกับจำเลยขับขี่ไปในขณะเกิดเหตุก็เป็นรถจักรยานยนต์ของบุคคลอื่นซึ่งถูกคนร้ายลักเอาไปก่อนเกิดเหตุคดีนี้จริงอันเป็นหลักฐานที่สอดคล้องต้องกันกับคำว่าให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.16 ทั้งตามภาพถ่ายหมาย จ.18 ซึ่งเป็นการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพของจำเลย ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีร่องรอยของการถูกทำร้ายแต่อย่างใดเลยจึงเชื่อว่าจำเลยได้รับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาดังกล่าวจึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยคือคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายตามที่โจทก์ฟ้องจริง ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่บ้านนายดี แถมเถื่อน และจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนก็เพราะทนการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมและทำร้ายร่างกายไม่ไหวนั้น พยานจำเลยต่างก็เบิกความมีพิรุธขัดต่อเหตุผล ไม่น่าเชื่อถือ จึงไม่มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอที่จะหักล้างพยานโจทก์ได้ ขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยกับผู้ตายต่างขับขี่รถจักรยานยนต์ของกลางทั้งสองคันมุ่งหน้าจะไปทางจังหวัดกำแพงเพชร เนื่องจากจำเลยลวงผู้ตายว่ามีผู้สนใจจะซื้อรถจักรยานยนต์ของกลาง เมื่อถึงบริเวณสถานที่เกิดเหตุจำเลยก็ใช้อาวุธปืนของกลางที่มีและพาติดตัวไปยิงผู้ตายในลักษณะจ่อยิงด้านหลังประชิดตัวผู้ตายแล้วลากเอาศพผู้ตายไปทิ้งไว้ในป่างา จากนั้นก็นำเอารถจักรยานยนต์ของกลางไปซ่อนไว้ ทั้งที่ก่อนเกิดเหตุขณะที่อยู่บ้านนายเฉลิมก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกับผู้ตายแต่อย่างใดเลย เช่นนี้จึงเชื่อได้ว่าก่อนเกิดเหตุคดีนี้จำเลยได้วางแผนตระเตรียมการที่จะฆ่าผู้ตายไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว สาเหตุเพราะผู้ตายแบ่งเงินจากการขายรถจักรยานยนต์ที่ลักมาให้จำเลยน้อยและพูดจาดูถูกจำเลยเสมอดังที่จำเลยให้การรับสารภาพไว้ต่อร้อยตำรวจโทสมนึกตามบันทึกคำให้การของจำเลยเอกสารหมาย จ.16 คดีจึงรับฟังได้ว่า จำเลยได้ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามที่โจทก์ฟ้องจริง ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันไม่น่าเชื่อ กล่าวคือนายเฉลิมเบิกความว่า จำเลยและผู้ตายออกไปจากบ้านนายเฉลิมพร้อมกัน แต่ร้อยตำรวจโทสมนึกเบิกความว่า จำเลยออกจากบ้านนายเฉลิมไปก่อน แล้วเดินวกกลับมาหาผู้ตายโดยอ้างว่ารถจักรยานยนต์เสียนั้น เห็นว่า ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่สาระสำคัญแต่อย่างใดในอันที่จะทำให้พยานอื่น ๆ เสียไป…”
พิพากษายืน.

Share