แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีและงดสืบพยานโจทก์จำเลย เป็นคำสั่งก่อนศาลนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 และมิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24 และมาตรา 227เพราะที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ประเด็นข้อพิพาทมีว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ภาระการพิสูจน์ตกโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ฟังได้ตามคำฟ้อง โจทก์จึงต้องแพ้คดีนั้นเป็นการวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ตามฟ้อง มิได้วินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายที่พิพาทกันในคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ออกเช็คธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาอุดรธานี ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2529 จำนวนเงิน 850,000 บาท ให้โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ แต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินขอให้บังคับจำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ลายมือชื่อตามเช็คไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลยโจทก์เป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยเคยให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์นำเช็คตามฟ้องมาคืน โจทก์ไม่ยอมคืน กลับมาฟ้องเป็นคดีอาญา คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกวันที่ 1 ตุลาคม 2530โจทก์ขอเลื่อนคดี และต่อมาได้ขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุต่าง ๆ อีกหลายนัดศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีเรื่อยมา จนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่ 10 ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2531 ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีกอ้างว่า ตัวโจทก์เดินทางไปกรุงเทพมหานครเพื่อติดตามเอกสารที่จะใช้ประกอบการเบิกความซึ่งติดกระเป๋าภรรยาไปยังไม่กลับทนายจำเลยแถลงว่า โจทก์ขอเลื่อนคดีมาเป็นเวลาปีครึ่งแล้วยังไม่ได้สืบพยานเลย ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ขอเลื่อนคดีมาปีเศษแล้ว โดยไม่ได้สืบพยานเลย นัดที่แล้วศาลก็ได้กำชับว่าจะไม่ให้เลื่อนคดีอีก แต่โจทก์ก็เดินทางไปกรุงเทพมหานคร แล้วไม่มาตามนัด ไม่มีเหตุสมควรให้เลื่อนคดี จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีวันนี้โจทก์ไม่มีพยานมาศาล ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย ให้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 2 ธันวาคม 2531 เวลา8.30 นาฬิกา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีและงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วนัดฟังคำพิพากษา ไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 แต่เป็นคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายที่ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง ตามมาตรา 24 และ มาตรา 227 โจทก์ชอบที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้โดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ก่อนพิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 บัญญัติเป็นใจความว่า ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลได้มีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากที่ระบุไว้ใน มาตรา 227 และ 228 ถ้าคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งใดไว้ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีและงดสืบพยานโจทก์จำเลย และอยู่ในระหว่างนัดฟังคำพิพากษานั้น เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก่อนศาลนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตามมาตรา 226 และมิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24 และมาตรา 227เพราะที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ประเด็นข้อพิพาทมีว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ภาระการพิสูจน์ตกโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ฟังได้ตามคำฟ้อง โจทก์จึงต้องแพ้คดีนั้นเป็นการวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ตามฟ้อง มิได้วินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายที่พิพาทกันในคดีแต่อย่างใดดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2531เวลา 9.45 นาฬิกาซึ่งทนายโจทก์ก็มาศาลในวันดังกล่าว และศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาในวันที่ 2 ธันวาคม 2531 เวลา 10 นาฬิกาโจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้แต่มิได้โต้แย้งจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ชอบแล้ว”
พิพากษายืน