คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12811/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ผู้กระทำความผิดต้องมีเจตนาแย่งการครอบครองทรัพย์นั้นโดยทุจริตตั้งแต่ที่เข้าแย่งการครอบครอง แต่ขณะที่จำเลยยืมคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจากผู้เสียหาย ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาจะเอาไปในลักษณะที่เป็นการตัดกรรมสิทธิ์ตั้งแต่แรก จำเลยยังคงพักอยู่ที่โรงแรมตรงข้ามอู่ซ่อมรถของผู้เสียหาย เหตุที่จำเลยหลบหนีออกจากโรงแรมโดยนำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กไปด้วย เพราะไม่ต้องการชำระค่าซ่อมรถที่จำเลยค้างชำระผู้เสียหาย จึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ที่อยู่ในความครอบครองเป็นของจำเลยโดยทุจริต เป็นความผิดฐานยักยอก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335, 336 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นตั้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก จำคุก 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 335 (1) วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุก 3 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้เสียหายเป็นเจ้าของกิจการอู่ซ่อมรถ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2557 จำเลยนำรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์มาให้ผู้เสียหายซ่อม จำเลยบอกแก่ผู้เสียหายว่าสนใจจะเช่าพระเครื่องและซื้อที่ดิน ผู้เสียหายพาจำเลยไปติดต่อหาเช่าพระเครื่องและพาไปดูที่ดินหลายแห่ง ผู้เสียหายและจำเลยกลับมาถึงอู่ซ่อมรถเวลาประมาณ 21 นาฬิกา รถของจำเลยซ่อมเสร็จแล้ว ค่าซ่อมเป็นเงินประมาณ 10,000 บาท จำเลยขอรับรถไปแต่ยังไม่ชำระเงินค่าซ่อมรถ จำเลยพักอยู่โรงแรมซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอู่ซ่อมรถของผู้เสียหาย จำเลยขอยืมคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเพื่อส่งไฟล์ภาพไปให้เพื่อนที่กรุงเทพมหานครและขอยืมพระเครื่องกับสร้อยคอทองคำหนัก 10 บาท ของผู้เสียหายไว้ดูโดยมอบพระเครื่อง 2 องค์ ของจำเลยซึ่งอ้างว่าราคาองค์ละ 2,000,0000 บาท ให้ผู้เสียหายไว้ มารดาผู้เสียหายเกรงว่าผู้เสียหายจะถูกหลอกลวง ผู้เสียหายจึงไปขอสร้อยคอทองคำและพระเครื่องคืน จำเลยคืนสร้อยคอทองคำและพระเครื่องให้แก่ผู้เสียหาย ส่วนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กยังไม่คืนให้อ้างว่ายังไม่ได้ส่งไฟล์ภาพ วันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 7 นาฬิกา จำเลยขับรถยนต์หลบหนีออกทางด้านหลังของโรงแรมและถูกเจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับกุมพร้อมด้วยคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในรถยนต์ของจำเลย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยักยอกมิใช่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษา เห็นว่า หลังจากที่ผู้เสียหายมอบสร้อยคอทองคำหนัก 10 บาท พร้อมพระเครื่องและคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กให้แก่จำเลยแล้ว หากจำเลยมีเจตนาที่จะลักทรัพย์ของผู้เสียหายดังกล่าวมาตั้งแต่แรก เมื่อผู้เสียหายเดินทางกลับไปที่อู่ซ่อมรถ จำเลยน่าจะต้องรีบนำทรัพย์สินของผู้เสียหายดังกล่าวขับรถหลบหนีไปทันทีไม่น่าจะพักค้างคืนอยู่ที่โรงแรมต่อไปตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า เพราะสร้อยคอทองคำและพระเครื่องของผู้เสียหายมีมูลค่าสูงกว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมาก แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อผู้เสียหายกลับมาหาจำเลยที่โรงแรมและขอสร้อยคอทองคำและพระเครื่องคืน จำเลยก็ยอมคืนให้แก่ผู้เสียหายไป การที่จำเลยยังคงพักค้างคืนอยู่ที่โรงแรมจนกระทั่งถึงวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 7 นาฬิกา จึงขับรถออกไปทางด้านหลังของโรงแรมหลบหนีไปพร้อมคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของผู้เสียหายนั้น ตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจำเลยต้องการหลบหนีไม่ชำระค่าซ่อมรถประมาณ 10,000 บาท ที่ยังไม่ได้ชำระให้แก่ผู้เสียหายโดยนำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ยืมมาตามที่อ้างว่าเพื่อส่งไฟล์ภาพติดรถไปด้วย การที่จำเลยครอบครองคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอันเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายแล้วไม่คืนให้แก่ผู้เสียหายแต่กลับนำใส่รถขับหลบหนีไป จึงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาเบียดบังทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานยักยอก มิใช่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กลอุบายตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share