คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.วิ.พ. มาตรา 175 ไม่ได้บัญญัติว่าต้องอ้างเหตุผลของการขอถอนฟ้องมาด้วย แม้จะอ้างเหตุผลมาและฟังไม่ได้ ก็ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะศาลมีอำนาจพิจารณาเหตุผลต่าง ๆ ในสำนวนประกอบคำคัดค้านได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนแก้ไขกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้กลับเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ทั้งห้าตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีหมายเลขดำที่ พ.801/2553 ของศาลชั้นต้น หากจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการ ขอให้มีคำสั่งให้นายทะเบียนเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาท แล้วดำเนินการออกโฉนดที่ดินพิพาทหรือใบแทนส่งมอบให้โจทก์ทั้งห้าเพื่อดำเนินการจดทะเบียนต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งห้ายื่นคำร้องว่า โจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสองสามารถตกลงกันได้ จึงขอถอนฟ้อง จำเลยที่ 1 ไม่ค้าน จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องคัดค้านว่า โจทก์ทั้งห้ามีพฤติการณ์ในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยมิชอบและใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลภายนอกไม่ได้เกี่ยวข้องหรือมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ทั้งห้า แต่ถูกโจทก์ทั้งห้าฟ้องเป็นคดีนี้และในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 36/2554 ของศาลชั้นต้นด้วย ทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหายต่อการดำเนินการเกี่ยวกับธุรกิจพัฒนาที่ดิน ทำให้โครงการล่าช้าและเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น การที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การต่อสู้คดีทำให้โจทก์ทั้งห้าทราบข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 สุจริต โจทก์ทั้งห้าจึงขอถอนฟ้อง ขอให้ยกคำร้องขอถอนฟ้องของโจทก์ทั้งห้า
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ทั้งห้าถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ค่าขึ้นศาลให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ทั้งห้า 7,000 บาท
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า คำสั่งของศาลล่างทั้งสองที่อนุญาตให้โจทก์ทั้งห้าถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องจำเลยทั้งสองว่า สืบเนื่องจากจำเลยที่ 1 กับโจทก์ทั้งห้าทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลในคดีอื่น โดยจำเลยที่ 1 จะโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 10991 ให้แก่โจทก์ทั้งห้า แต่หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองมีเจตนาไม่สุจริต โดยจำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 รับโอนโดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เคยมีข้อพิพาทกับโจทก์ทั้งห้าเกี่ยวกับที่ดินพิพาท ทำให้โจทก์ทั้งห้าซึ่งอยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิของตนตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ก่อนได้รับความเสียหาย ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 กับโจทก์ทั้งห้าเคยมีข้อพิพาทและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิแล้ว จำเลยที่ 2 มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ทั้งห้า เห็นว่า ที่โจทก์ทั้งห้าฟ้องจำเลยที่ 2 เพราะเข้าใจว่า จำเลยที่ 2 ได้รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มีพฤติการณ์ที่ไม่สุจริต ในเบื้องต้นจะฟังว่าโจทก์ทั้งห้านำความอันเป็นเท็จมาฟ้องต่อศาลไม่ได้เพราะไม่มีข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ให้เห็นเช่นนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การเข้ามา หากโจทก์ทั้งห้าเห็นว่าข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 มีเหตุผล มิได้เป็นไปดังที่โจทก์ทั้งห้าเข้าใจ โจทก์ทั้งห้าย่อมขอถอนฟ้องได้ ทั้งไม่มีกฎหมายห้ามมิให้ถอนฟ้องในกรณีเช่นนี้ การที่โจทก์ทั้งห้าขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ก่อนสืบพยานจึงเป็นการใช้สิทธิตามปกติ หาใช่ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ และไม่ถือว่าทำให้จำเลยที่ 2 เสียเปรียบในการต่อสู้คดี แต่ถ้าจำเลยที่ 2 เห็นว่าเรื่องที่ฟ้องไม่มีมูลอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 2 ก็มีทางแก้โดยฟ้องโจทก์ทั้งห้าทั้งทางแพ่งและทางอาญาได้อยู่แล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าโจทก์ทั้งห้ายื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 โดยระบุว่าโจทก์ทั้งห้าตกลงกับจำเลยที่ 2 ได้แล้ว ซึ่งความจริงมิได้มีการตกลงกันนั้น ในข้อนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 ไม่ได้บัญญัติว่าต้องอ้างเหตุผลของการขอถอนฟ้องมาด้วย แม้อ้างมาและฟังไม่ได้ ก็ไม่ใช่สาระสำคัญ การอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ถอนฟ้อง ศาลพิจารณาเหตุผลต่างๆ ในสำนวนประกอบคำคัดค้านของจำเลยที่ 2 ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share