แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มูลกรณีในคดีอาญา โจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง และโจทก์จำเลยได้ทำความตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งตามหลักฐานเอกสารว่า ทั้งสองฝ่ายยินยอมจะไม่ดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากันอีกต่อไป ดังนี้ เป็นการยอมความแก่กันแล้วในความผิดต่อส่วนตัว สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในคดีอาญาได้
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ทั้ง 2 เป็นสามีภริยากัน ฟ้องจำเลยว่าฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304, 314 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 352
ศาลแขวงพระนครเหนือไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า มูลกรณีนี้ได้มีการฟ้องร้องทางแพ่ง ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดให้จำเลยคืนทรัพย์รายพิพาทให้โจทก์ที่ 2 และทนายโจทก์ที่ 2 และทนายจำเลยได้แถลงร่วมกันว่า โจทก์จำเลยยินยอมที่จะไม่ดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากันต่อไปโจทก์ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 คงประทับฟ้องเฉพาะโจทก์ที่ 1
โจทก์ที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การยอมความในคดีความผิดต่อส่วนตัวตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 ได้แก่การยอมเลิกความนั่นเอง โจทก์ที่ 2 และจำเลยได้ตกลงกันโดยชัดแจ้งตามหลักฐานเอกสารในสำนวนคดีของศาลว่าทั้งสองฝ่ายยินยอมที่จะไม่ดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญาต่อไป สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตาม มาตรา 39(2) โจทก์ที่ 2 ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยในคดีนี้ได้
พิพากษายืน