คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 128/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทแล้วให้จำเลยลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแทนต่อมาโจทก์ตกลงขายที่ดินพิพาทให้ผู้มีชื่อและได้แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนให้ผู้มีชื่อแต่จำเลยเพิกเฉยและอ้างว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโจทก์จึงไม่ประสงค์ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไปขอบังคับให้จำเลยถอนชื่อจำเลยออกและใส่ชื่อโจทก์เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม แม้คดีนี้กับคดีก่อนคู่ความจะเป็นคู่ความเดียวกันแต่คดีก่อนศาลยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทที่เป็นเนื้อหาแห่งคดีว่าจำเลยเป็นตัวแทนโจทก์หรือไม่ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว สามีโจทก์เป็นคนต่างด้าวขณะซื้อที่ดินพิพาทแม้จะหย่ากับสามีแล้วยังอยู่ด้วยกันแต่โจทก์เป็นคนไทยจึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา86แห่งประมวลกฎหมายที่ดินสัญญาซื้อขายที่ดินไม่เป็นโมฆะ กิจการใดที่ตัวแทนจะไปทำกับบุคคลภายนอกแทนตัวการกฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือการตั้งตัวแทนไปทำกิจการนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วยมิฉะนั้นกิจการที่ตัวแทนกระทำไปกับบุคคลภายนอกจะไม่สมบูรณ์แต่ในระหว่างตัวแทนกับตัวการด้วยกันตัวแทนจะอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา798มาใช้บังคับไม่ได้ เมื่อที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่จำเลยลงชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในฐานะตัวแทนโจทก์ซึ่งเป็นตัวการเรียกร้องเอาคืนจำเลยมีหน้าที่ต้องคืนแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 7147 และเลขที่2125 แล้วให้ลงชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดไว้แทนโดยตกลงกันว่าเมื่อใดโจทก์ประสงค์จะทำนิติกรรมเปลี่ยนแปลงในโฉนดดังกล่าว จำเลยก็จะจัดการให้ตามที่โจทก์ประสงค์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2531 โจทก์ตกลงขายที่ดินทั้ง 2 แปลงให้ผู้มีชื่อและได้แจ้งให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนให้ผู้มีชื่อแต่จำเลยเพิกเฉยและอ้างว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินทั้ง 2 แปลงเองโจทก์จึงไม่ประสงค์ให้จำเลยลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวแทนโจทก์อีกต่อไป ขอบังคับให้จำเลยจัดการถอนชื่อจำเลยออกและใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้ง 2 แปลง ดังกล่าวหากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงจำเลยได้ยอมให้โจทก์เก็บผลประโยชน์ในที่ดินพิพาทเพื่อเป็นการอุปการะแก่โจทก์แต่โจทก์กลับนำที่ดินไปขานให้แก่ผู้มีชื่อเมื่อจำเลยไม่ยินยอมโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 840/2531 ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลพิพากษายกฟ้องไปแล้วฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว และเป็นฟ้องเคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 14598 และเลขที่ 14596 ให้โจทก์ หากจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามที่จำเลยฎีกาประการแรกว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทแล้วให้จำเลยลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแทน ต่อมาโจทก์ตกลงขายที่ดินพิพาทให้ผู้มีชื่อและได้แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนให้ผู้มีชื่อ แต่จำเลยเพิกเฉยและอ้างว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่ประสงค์ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป ขอบังคับให้จำเลยถอนชื่อจำเลยออกและใส่ชื่อโจทก์ เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นเป็นฟ้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ ไม่เคลือบคลุม
ฎีกาของจำเลยประการต่อมาที่ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 840/2531 ของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่าคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า รูปเรื่องที่โจทก์ตั้งรูปคดีมาโจทก์ควรจะฟ้องเรียกให้จำเลยส่งมอบทรัพย์คืนให้โจทก์หรือเปลี่ยนแปลงเพิกถอนการจดทะเบียนที่ดินในกรณีเช่นที่โจทก์ฟ้องนี้ไม่มีบทกฎหมายใดให้สิทธิโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยขายที่ดินได้ คำขอท้ายฟ้องของโจทก์จึงไม่มีข้อที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาได้แม้คดีนี้กับคดีก่อนคู่ความจะเป็นคู่ความเดียวกัน แต่คดีก่อนศาลยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทที่เป็นเนื้อหาแห่งคดีว่า จำเลยเป็นตัวแทนโจทก์หรือไม่ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทโดยลงชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน ที่จำเลยฎีกาว่า สามีโจทก์เป็นคนต่างด้าวขณะซื้อที่ดินพิพาทแม้จะหย่ากับสามีแล้วก็ยังอยู่ด้วยกันโจทก์ไม่อาจถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทยนั้นเห็นว่า โจทก์เป็นคนไทยจึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินสัญญาซื้อขายที่ดินไม่เป็นโมฆะตามที่จำเลยฎีกา
คดีนี้เป็นเรื่องระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นตัวการกับจำเลยซึ่งเป็นตัวแทน แม้การตั้งจำเลยเป็นตัวแทนไปทำการซื้อที่ดินพิพาทแทนโจทก์จะมิได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือจำเลยก็จะอ้างมาตรา 798 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับไม่ได้ เพราะบทบัญญัติดังกล่าวหมายถึงกิจการใดที่ตัวแทนจะไปทำกับบุคคลภายนอกแทนตัวการ กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือ หรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนไปทำกิจการนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วยมิฉะนั้นกิจการที่ตัวแทนกระทำไปกับบุคคลภายนอกจะไม่สมบูรณ์แต่ในระหว่างตัวแทนกับตัวการด้วยกัน ตัวแทนจะอ้างมาตรา 798 มาใช้บังคับไม่ได้
เมื่อที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่จำเลยลงชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในฐานะตัวแทน โจทก์ซึ่งเป็นตัวการเรียกร้องเอาคืนจำเลยมีหน้าที่ต้องคืนแก่โจทก์
พิพากษายืน

Share