คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7480/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มูลคดีเดียวกันจำเลยเคยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทและศาลได้พิพากษาขับไล่โจทก์แล้วแม้คำพิพากษาในคดีดังกล่าวเป็นเรื่องคำพิพากษาในคดีขาดนัดและมีการขอให้พิจารณาใหม่แต่คำพิพากษาในคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วจึงมีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคหนึ่ง ในคดีดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทกับจำเลยเมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ไถ่ถอนที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา492จึงต้องฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยและโจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยเมื่อจำเลยไม่ประสงค์จะให้โจทก์เช่าต่อไปโจทก์ก็ต้องออกจากที่ดินพิพาทจำเลยจึงมีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ดังนี้แม้ประเด็นแห่งคดีทั้งสองจะเป็นคนละเรื่องแต่ก็เกิดจากมูลคดีเดียวกันดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงปรากฏในชั้นพิจารณาเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีโดยไม่จำต้องสืบพยานต่อไปและงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วศาลล่างทั้งสองนำเอาคำพิพากษาคดีดังกล่าวมาวินิจฉัยโดยเห็นว่าผูกพันคู่ความในคดีนี้จึงชอบแล้ว เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนการที่ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยหรือไม่ย่อมเป็นดุลพินิจของศาลเมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้เพียงพอที่จะวินิจฉัยโดยไม่จำต้องสืบพยานต่อไปศาลก็มีอำนาจหยิบยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และเพิกถอนสัญญาขายฝากระหว่างโจทก์กับจำเลยฉบับลงวันที่ 17 กันยายน 2506 ให้จำเลยเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนที่ดินพิพาทมาเป็นชื่อโจทก์ หากไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้นำที่ดินพิพาทมาขายฝากไว้กับจำเลยเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2506 มีกำหนด 10 ปี ในราคา10,000 บาท โดยจดทะเบียนกันถูกต้องตามกฎหมายโจทก์มิได้ไถ่ถอนภายในกำหนดที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของจำเลย จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทนับแต่วันรับซื้อฝากโดยโจทก์ได้ขอเช่าที่ดินพิพาทอยู่ในระหว่างที่ยังไถ่ถอนได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และเห็นว่าโจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาในทางก่อความรำคาญถึงขนาด จึงให้ถอนอนุญาตที่ให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ถอนอนุญาตที่ให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มูลคดีเดียวกันนี้ จำเลยเคยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท และศาลได้พิพากษาขับไล่โจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 972/2532 ของศาลชั้นต้นแม้คำพิพากษาในคดีดังกล่าวเป็นเรื่องคำพิพากษาในคดีขาดนัดและมีการขอพิจารณาคดีใหม่ แต่คำพิพากษาในคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วจึงมีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรกสำหรับคดีนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏในชั้นพิจารณาเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีโดยไม่จำต้องสืบพยานต่อไป ศาลชั้นต้นย่อมงดสืบพยานเสียได้ และเมื่อได้ความว่า ศาลในคดีดังกล่าวฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทกับจำเลยเมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ไถ่ถอนการขายฝาก ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 492จึงต้องฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และโจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยเมื่อจำเลยไม่ประสงค์จะให้โจทก์เช่าต่อไปโจทก์ก็ต้องออกจากที่ดินพิพาทจำเลยจึงมีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ดังนี้ แม้ประเด็นแห่งคดีทั้งสองจะเป็นคนละเรื่องแต่ก็เกิดจากมูลคดีเดียวกัน ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วศาลล่างทั้งสองนำเอาคำพิพากษาคดีดังกล่าวมาวินิจฉัยโดยเห็นว่าผูกพันคู่ความในคดีนี้ จึงชอบแล้ว
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลมีอำนาจหยิบยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องมาวินิจฉัยได้เพียงใดหรือไม่ เห็นว่าเรื่องอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลจะหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยหรือไม่ย่อมเป็นดุลพินิจของศาลและเป็นเรื่องที่ศาลจะเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัย เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้เพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีโดยไม่จำต้องสืบพยานต่อไป ศาลก็มีอำนาจหยิบยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
พิพากษายืน

Share