คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การซื้อขายวิทยุเทปติดรถยนต์ของกลางได้กระทำกันโดยเปิดเผยและจำเลยรับซื้อไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ย่อมขาดองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดฐานรับของโจรจำเลยไม่มีความผิด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่ามีคนร้ายทุบกระจกหูช้างรถยนต์ของผู้เสียหายแล้วลักเอาเครื่องรับวิทยุเทปติดรถยนต์ 1 เครื่อง ราคา 3,000 บาท กล้องถ่ายรูป 1 กล้องราคา 5,000 บาท กระเป๋าเอกสาร 1 ใบ ราคา 2,000 บาทของผู้เสียหายซึ่งอยู่ในรถยนต์นั้นไปโดยทุจริต ต่อมาเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเครื่องรับวิทยุเทปติดรถยนต์ 1 เครื่อง อันเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปเป็นของกลางทั้งนี้จำเลยร่วมกับนายตันติเวช วิริยะมนตรี ซึ่งเป็นเยาวชนและแยกไปดำเนินคดีแล้วกับพวกร่วมกันลักทรัพย์ผู้เสียหายไป หรือจำเลยรับเอาและช่วยเอาไปเสียซึ่งเครื่องรับวิทยุเทปติดรถยนต์ของกลางโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำผิดอันเข้าลักษณะลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335(1) (3) (7), 357 ที่แก้ไขแล้วและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนอีก 7,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา357 จำคุก 2 ปี ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาว่าจำเลยรับซื้อโดยรู้อยู่ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ โจทก์มีนายศักดิ์ชัย อธิการโกวิทย์ ยืนยันว่าจำเลยซื้อของกลางไว้จากผู้ที่นำวิทยุเทปรถยนต์ 4 เครื่อง วางบนกระบะซึ่งใช้เชือกคล้องคอเดินเร่ขายในตลาดคลองเตยตอนบ่ายวันหนึ่งขณะจำเลยขายผ้าอยู่ที่แผงลอยท่ามกลางคนหลายคนมุงดู ก่อนซื้อจำเลยก็ถามผู้ขาย ผู้ขายบอกว่าของกลางเป็นของตน แสดงว่าการซื้อขายได้กระทำกันโดยเปิดเผย และสุจริตใจนอกจากนี้ยังได้ความจากร้อยตำรวจโทสถิตย์ สนเทศ พยานโจทก์ผู้จับจำเลยด้วยว่าเมื่อไปสอบถามจำเลยที่บ้าน จำเลยก็รับทันทีว่าซื้อวิทยุเทปติดรถยนต์ไว้จริง และพาไปเอาวิทยุนั้นจากบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างกันคนละแขวง พฤติการณ์นี้ก็แสดงถึงความสุจริตของจำเลยภายหลังการซื้อของกลาง เพราะถ้าจำเลยไม่สุจริตหรือรู้มาก่อนว่าของกลางเป็นของร้ายย่อมเป็นการง่ายที่จำเลยจะปฏิเสธหรือปกปิด หรืออิดเอื้อน ถ่วงเวลาไว้เพื่อการยักย้ายหรือซ่อนเร้นทำลายของกลางซึ่งอยู่ไกลตัวนั้นเสียได้ แต่จำเลยก็หาได้ทำเช่นนั้นไม่ นอกจากนี้ยังได้ความจากนายศักดิ์ชัยพยานโจทก์อีกว่าจำเลยซื้อของกลางได้วันเดียวตำรวจก็เรียกตนไปสอบปากคำแสดงว่านับแต่จำเลยซื้อของกลางจนถูกจับเป็นช่วงเวลาอันสั้น ฉะนั้นการไม่ได้เก็บของกลางไว้ที่บ้านพักของจำเลย และการที่ยังไม่นำของกลางติดรถยนต์ตามที่ตั้งใจไว้ยังถือเป็นพิรุธของจำเลยไม่ได้ ข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานโจทก์เจือสมข้อนำสืบของจำเลยฟังได้ว่าจำเลยรับซื้อของกลางไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จึงขาดองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดฐานรับของโจร ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share