แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะมิได้ยกเรื่องฟ้องซ้ำเป็นข้อต่อสู้ไว้แต่เดิม ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวแก่ความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์จากจำเลยในคดีก่อนจนศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนั้นไปแล้ว โจทก์นำคดีเรื่องนี้มาฟ้องเรียกทรัพย์รายเดียวกันคืนจากจำเลยอีก เป็นฟ้องซ้ำ
(อ้างฎีกาที่ 54/2499)
โจทก์จำเลยและนายสร่างได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมคืนทรัพย์ให้โจทก์ในเมื่อนายสร่างได้จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับโจทก์ และศาลได้พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดไปตามนั้นแล้ว เมื่อนายสร่างไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส โจทก์ชอบที่จะขอให้ศาลบังคับตามคำพิพากษาเดิมนั้นเท่าที่จะพึงบังคับได้ สิทธิของโจทก์ที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยให้คืนทรัพย์ยังคงมีอยู่ไม่ใช่ต้องนำคดีมาฟ้องเรียกทรัพย์นั้นคืนอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้แต่งงานกับนายสร่าง บุตรจำเลยและได้ไปอยู่บ้านจำเลย กับได้ฝากทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้อง รวมราคา ๒,๔๙๖ บาท ไว้กับจำเลย ต่อมาจำเลยพาลทะเลาะวิวาทกับโจทก์จนโจทก์ต้องออกจากบ้านจำเลย โจทก์ทวงทรัพย์ที่ฝากไว้ จำเลยไม่ยอมคืน และโจทก์เคยฟ้องเรียกทรัพย์รายนี้จากจำเลยมาครั้งหนึ่งแล้ว ในคดีนั้นนายสร่างบุตรจำเลยได้เข้าเป็นจำเลยร่วม โจทก์จำเลยและนายสร่างทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล โดยจำเลยคืนทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องให้โจทก์ในเมื่องนายสร่างได้จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับโจทก์แล้ว แต่จนบัดนี้นายสร่างไม่ยอมจดทะเบียนสมรสตามสัญญายอมความ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนทรัพย์ตามฟ้องให้โจทก์ ถ้าไม่สามารถคืนได้ ให้ใช้เงิน ๒,๔๙๐ บาท
จำเลยต่อสู้ว่า บุตรจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ตามสัญญายอม จำเลยก็เลยถือโอกาสไม่คืนทรัพย์ให้โจทก์ ทรัพย์ที่โจทก์ตกอยู่จำเลย พิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์ให้แก่โจทก์ ถ้าคืนไม่ได้ ให้ใช้ราคาทรัพย์ ๒,๔๙๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์เคยฟ้องเรียกทรัพย์ที่ฝากจำเลยไว้คืนครั้งหนึ่งแล้ว ในคดีก่อนจนได้ทำสัญญายอมความกัน ถ้าฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญายอมนั้น ก็ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามสัญญายอมในคดีนั้นเท่าที่จะพึงบังคับได้ ไม่ใช่มาฟ้องเป็นคดีใหม่ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกว่า
ก.เรื่องฟ้องซ้ำ จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ ศาลไม่ควรยกขึ้น
ข.โจทก์ไม่อาจบังคับตามสัญญายอมในคดีก่อนได้ ไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์+ฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วตามฎีกาข้อ ก.แม้จำเลยจะมิได้ยกเรื่องฟ้องข้อต่อสู้ไว้แต่เดิม แต่เป็นเรื่องเกี่ยวแก่ความสงบเรียบร้อย ฯ ศาลฎีกามี+วินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.แพ่ง ม.๒๔๙ วรรค ๒ และทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องเรียกเลยในคดีนี้ โจทก์ได้ฟ้องเรียกจากจำเลยครั้งหนึ่งแล้วตามคดีแพ่งแดง+/๒๔๙๘ จนโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน นับว่าศาล+พิพากษาเสร็จเด็ดขาดเกี่ยวกับทรัพย์รายพิพาทนี้ไปแล้ว การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยอีก จึงเป็นการฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.แพ่ง
อ้างฎีกาที่ ๕๔/๒๔๙๔
ตามฎีกาข้อ ข.ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อในคดีก่อน โจทก์จำเลยและ+ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล โดยจำเลยยอมคืนทรัพย์โจทก์ในเมื่อนายสร่างได้จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับโจทก์แล้ว และศาลก็พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว โจทก์ชอบที่จะขอให้ศาลบังคับตามคำพิพากษาที่จะพึงบังคับได้ ถ้านายสร่างไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส สิทธิของโจทก์ให้ศาลบังคับจำเลยให้คืนทรัพย์ก็ยังคงมีอยู่
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์