แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์จะโอนที่ดินใช้หนี้ให้แก่ ส. ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มีเงินได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดินแล้ว การที่โจทก์ประกอบธุรกิจปลูกสร้างบ้านขายพร้อมที่ดินและที่ดินที่โจทก์โอนตีใช้หนี้เป็นที่ดินแปลงหนึ่งในจำนวนหลายแปลงที่โจทก์จัดสรรขายเพียงแต่วิธีการชำระเงินให้โจทก์เป็นการหักกลบลบหนี้ต่อกันเท่านั้น ดังนั้น การโอนที่ดินตีใช้หนี้ดังกล่าวจึงเป็นการขายสินค้าอย่างหนึ่ง โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้า จึงมีหน้าที่เสียภาษีการค้าในประเภท 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าแห่งประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น เมื่อโจทก์มีอาชีพประกอบการค้าที่ดินแล้ว แม้จะครอบครองมาเกิน 5 ปีก็ถือว่าเป็นการกระทำอันเป็นการค้าหรือหากำไร ถือว่าโจทก์ประกอบการค้าอสังหาริมทรัพย์แล้ว ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 20 เพียงแต่กำหนดให้เจ้าพนักงานประเมินเมื่อได้ประเมินแล้วให้แจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากรเท่านั้น มิได้กำหนดว่าในการแจ้งการประเมิน เจ้าพนักงานประเมินต้องแจ้งรายละเอียดและเหตุผลที่ประเมินให้ผู้ต้องเสียภาษีอากรทราบด้วย ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งจำนวนภาษีอากรที่โจทก์ต้องชำระให้โจทก์ทราบโดยมิได้แจ้งรายละเอียดและเหตุผลที่ประเมินในหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้โจทก์ทราบ จึงเป็นการประเมินที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ไม่เคยยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการประกอบกิจการของโจทก์เลย โจทก์เพิ่งมายื่นแบบชำระภาษีเนื่องจากมีการประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ขยายเวลายื่นรายการการชำระภาษีหรือนำส่งภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2534 แต่โจทก์ยื่นแบบ ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นการแสดงว่าโจทก์มีเจตนา หลีกเลี่ยงการเสียภาษี การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ลดเบี้ยปรับที่เรียกเก็บตามการประเมิน คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย นับว่าเป็นคุณแก่โจทก์มากอยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับให้โจทก์อีกส่วนเงินเพิ่มนั้น ประมวลรัษฎากร มาตรา 27 และ 89 ทวิที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นกำหนดไว้แน่นอนโดยไม่มีข้อยกเว้นให้งดเก็บเสียได้และจะลดได้ก็จะต้องเป็นไปตามกฎหมายศาลจึงไม่อาจพิจารณางดหรือลดได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โดยให้จำเลยรับชำระเฉพาะภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2533 จากโจทก์เป็นเงิน 20,900 บาท กับให้งดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มทั้งหมด
จำเลยทั้งสามให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว และกรณีไม่มีเหตุที่จะงดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ ส่วนเงินเพิ่มไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ลดหรืองดได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับกันว่าในการประเมินเรียกเก็บภาษีตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ประเมินว่าโจทก์มีเงินได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดินมีโฉนดรวม 18 แปลง โดยขายในปีภาษี 2533 จำนวน 15 แปลง ได้แก่ แปลงโฉนดเลขที่ 41317 41198 41323 41257 41201 41270 45092 45091 39567 45089 4509040967 41316 41258 และ 37680 ขายในปีภาษี 2534 จำนวน 3 แปลงได้แก่ แปลงโฉนดเลขที่ 20686 41264 และ 40968 ที่ดินทั้ง18 แปลง ตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีในการประเมินของจำเลยที่ 2 ได้ถือราคาซื้อขายที่ดินตามที่โจทก์แจ้งโดยมิได้ประเมินราคาที่ดินเพิ่ม คงประเมินว่าโจทก์มีเงินได้เพิ่มเติมจากการขายอาคารพร้อมที่ดิน มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกว่า การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินที่ประเมินว่าโจทก์มีเงินได้จากการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินเป็นการชอบหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ขายบ้านพร้อมที่ดินให้แก่ผู้ซื้อ จึงถือว่าราคาสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินเป็นเงินได้ถึงประเมินของโจทก์ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจึงชอบแล้ว
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ได้ขายที่ดินแปลงพิพาทคือที่ดินโฉนดเลขที่ 41201 โดยแบ่งแยกจากแปลงใหม่ตั้งแต่ปี 2513และถือครองมาเกินกว่า 5 ปีแล้ว ที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ได้มาเพื่อการค้าหรือหากำไรแต่อย่างใด และโจทก์โอนที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่นางสุวิมลเพื่อเป็นการชำระหนี้โจทก์จึงไม่มีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 41201 แต่อย่างใดนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะโอนที่ดินใช้หนี้ให้แก่นางสุวิมลก็ตาม แต่เมื่อศาลได้วินิจฉัยว่าโจทก์มีเงินได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดินแล้ว การที่โจทก์ประกอบธุรกิจปลูกสร้างบ้านขายพร้อมที่ดิน และที่ดินที่โจทก์โอนตีใช้หนี้เป็นที่ดินแปลงหนึ่งในจำนวนหลายแปลงที่โจทก์จัดสรรขาย เพียงแต่วิธีการชำระเงินให้โจทก์เป็นการหักกลบลบหนี้ต่อกันเท่านั้นดังนั้น การโอนที่ดินตีใช้หนี้ดังกล่าวจึงเป็นการขายสินค้าอย่างหนึ่ง โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้า จึงมีหน้าที่เสียภาษีการค้าในประเภท 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าแห่งประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นเมื่อโจทก์มีอาชีพประกอบการค้าที่ดินแล้ว แม้จะครอบครองมาเกิน5 ปี ก็ถือว่าเป็นการกระทำอันเป็นการค้าหรือหากำไร ถือว่าโจทก์ประกอบการค้าอสังหาริมทรัพย์แล้ว การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่เจ้าพนักงานประเมินไม่ได้แจ้งรายละเอียดและเหตุผลแห่งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้โจทก์ทราบเป็นการประเมินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 20 เพียงแต่กำหนดให้เจ้าพนักงานประเมินเมื่อได้ประเมินแล้วให้แจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากรเท่านั้น มิได้กำหนดว่าในการแจ้งการประเมินเจ้าพนักงานประเมินต้องแจ้งรายละเอียดและเหตุผลที่ประเมินให้ผู้ต้องเสียภาษีอากรทราบด้วย ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งจำนวนภาษีอากรที่โจทก์ต้องชำระให้โจทก์ทราบโดยมิได้แจ้งรายละเอียดและเหตุผลที่ประเมินในหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้โจทก์ทราบ จึงเป็นการประเมินที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ที่โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า โจทก์ไม่เคยยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการประกอบกิจการของโจทก์เลย โจทก์เพิ่งมายื่นแบบชำระภาษีเนื่องจากมีการประกาศกระทรวงการคลังเรื่องขยายเวลายื่นรายการชำระภาษีหรือนำส่งภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2534แต่โจทก์ยื่นแบบไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นการแสดงว่าโจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษี การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ลดเบี้ยปรับที่เรียกเก็บตามการประเมิน คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย นับว่าเป็นคุณแก่โจทก์มากอยู่แล้วไม่มีเหตุที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับให้โจทก์อีก ส่วนเงินเพิ่มนั้นประมวลรัษฎากร มาตรา 27 และ 89 ทวิ ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นกำหนดไว้แน่นอนโดยไม่มีข้อยกเว้นให้งดเก็บเสียได้และจะลดได้ก็จะต้องเป็นไปตามกฎหมาย ศาลจึงไม่อาจพิจารณางดหรือลดได้
พิพากษายืน