คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1378/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ชักชวนพนักงานของจำเลยให้ไปทำงานที่สถานประกอบการอื่น ที่ประกอบกิจการอย่างเดียวกับจำเลยโดยกล่าวลอย ๆ ไม่มีข้อเสนอที่แน่นอน และผู้ที่ถูกชักชวนดังกล่าวมิได้ลาออกไปทำงานที่ สถานประกอบการอื่น การที่โจทก์ชักชวนและไม่ปรากฏว่าจำเลยเสียหาย การกระทำของโจทก์จึงไม่ถึงขั้นเป็นการสนทนาให้ร้ายเป็นผลให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจของจำเลยหรือดำเนินกิจการแข่งขันกับจำเลยซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อจำเลยตามคู่มือ ผู้ปฏิบัติงานของจำเลย ข้อ 35.10 และไม่ใช่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบ ข้อบังคับของจำเลยในข้อที่ร้ายแรงตามข้อ 35.11 แต่อย่างใด อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยเป็นการกระทำอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่นั้นเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาในศาลแรงงานกลาง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์มิได้มีคำขอให้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ย ด้วยนั้น จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เป็นการไม่ชอบ แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ก็ตาม แต่ก็เป็น ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกา เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย ตำแหน่งสุดท้ายเป็นวิศวกรประจำส่วน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 16,000 บาทเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2534 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยจึงต้องรับผิดจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชย การเลิกจ้างดังกล่าวถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 16,000 บาทค่าชดเชย 48,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 32,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย เมื่อปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคม 2534 โจทก์ละทิ้งงานในหน้าที่ไปชักชวนพนักงานของจำเลยไปทำงานที่สถานประกอบการอื่นซึ่งดำเนินกิจการเหมือนจำเลย จนมีพนักงานของจำเลยจำนวนหนึ่งลาออกเพื่อจะไปทำงานที่สถานประกอบการอื่นตามที่ชักชวน ทำให้จำเลยเสียหาย โจทก์กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าชดเชย และค่าเสียหายให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์และพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า16,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และจ่ายค่าชดเชย 48,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ตามคู่มือผู้ปฏิบัติงานของจำเลย เอกสารหมาย ล.10 หมวดที่ 8 วินัยและโทษทางวินัย ข้อ 35.10ระบุว่า “ปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อบริษัทฯ
(1) สนทนาให้ร้าย เป็นผลให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจและเสื่อมเสียชื่อเสียง และภาพพจน์ของบริษัทฯ
(2) ดำเนินกิจการแข่งขันกับบริษัทฯ”
ข้อ 35.11 ระบุว่า “กระทำความผิดตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47
(1) ทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่บริษัทฯหรือผู้บังคับบัญชา
(2) จงใจทำให้บริษัทฯ ได้รับความเสียหาย
(3) ฝ่าฝืนข้อบังคับ หรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน หรือคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชาและบริษัทฯ ซึ่งผู้บังคับบัญชาได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วเว้นแต่กรณีร้ายแรงผู้บังคับบัญชาไม่จำตักเตือน” ดังนั้น การที่โจทก์ชักชวนพนักงานของจำเลยให้ไปทำงานที่สถานประกอบการอื่นที่ประกอบกิจการอย่างเดียวกับจำเลย โดยกล่าวลอย ๆ ไม่มีข้อเสนอที่แน่นอน และผู้ที่ถูกชักชวนดังกล่าวมิได้ลาออกไปทำงานที่สถานประกอบการอื่น การที่โจทก์ชักชวนและไม่ปรากฏว่าจำเลยเสียหาย การกระทำของโจทก์จึงไม่ถึงขั้นเป็นการสนทนาให้ร้ายเป็นผลให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจของจำเลยหรือดำเนินการแข่งขันกับจำเลยซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อจำเลย ตามคู่มือผู้ปฏิบัติงานของจำเลย ข้อ 35.10 และไม่ใช่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยในข้อที่ร้ายแรงตามข้อ 35.11 แต่อย่างใด
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ใช้ตำแหน่งไปชักชวนพนักงานของจำเลยไปทำงานที่สถานประกอบการอื่น เป็นการกระทำอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต เห็นว่า แม้โจทก์มีตำแหน่งเป็นวิศวกรส่วนส่งเสริมการผลิตจะได้ชักชวนพนักงานไปทำงานที่สถานประกอบการอื่นก็จริง แต่การชักชวนไม่เป็นผลเพราะ ผู้ที่ถูกชักชวนมิได้ลาออกไปทำงานที่สถานประกอบการอื่น อันจะทำให้จำเลยเสียหาย เพียงเท่านี้ยังไม่ถือว่าโจทก์กระทำการไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตแต่อย่างใด และที่อุทธรณ์ต่อมาว่า โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.1 กล่าวคือไม่ไปปฏิบัติงานตามคำสั่งของจำเลยเป็นการกระทำอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตนั้น เห็นว่า เป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาในศาลแรงงานกลางโดยศาลแรงงานกลางมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้จึงไม่รับวินิจฉัยให้
คดีนี้โจทก์มิได้มีคำขอให้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยด้วยนั้น จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เป็นการไม่ชอบ แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ก็ตามแต่ก้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระดอกเบี้ยสำหรับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.

Share