แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก ทนายโจทก์ขอเลื่อนอ้างว่าพยานติดธุระ และแถลงด้วยว่า หากนัดหน้าโจทก์ไม่มีพยานมาศาลอีกยอมให้ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบศาลแรงงานกลางอนุญาตให้เลื่อนไป ครั้นถึงวันสืบพยานโจทก์ในนัดต่อมา โจทก์ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลแรงงานกลางสั่งงดสืบพยานจำเลยโดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี ดังนี้ มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดซึ่งจะต้องจำหน่ายคดีตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่มีพยานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนไม่มีเหตุที่จะต้องไต่สวนคำร้องที่อ้างถึงความจำเป็นที่ไม่อาจมาศาลได้ตามมาตรา 41
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนศาลมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนหลังเป็นจำเลยที่ 12 ถึง 14
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึง 11 ในฐานะคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้มีคำสั่งที่ 105/2523 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2523 ให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่ลูกจ้างทั้งสามที่โจทก์เลิกจ้างเป็นเงิน 28,000บาท เพราะคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นโมฆะและขอให้เพิกถอนเสีย
จำเลยให้การว่า โจทก์เลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมแก่ลูกจ้างและคำสั่งของจำเลยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 105/2523 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2523 ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นเงิน 12,000 บาท, 10,000บาท และ 6,000 บาท ตามลำดับพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า คำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพิจารณา ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทและให้โจทก์นำสืบก่อนดังนี้
1. คำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 105/2523 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
2. จำเลยที่ 12 ถึง 14 มีสิทธิได้ค่าเสียหายจากโจทก์หรือไม่
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์แถลงขอเลื่อนอ้างว่าผู้จัดการห้าง โจทก์เดินทางไปปักษ์ใต้กะทันหัน นัดหน้าหากไม่มีพยานมาศาลอีกยอมให้ถือว่าไม่มีพยานมาสืบ ศาลอนุญาตให้เลื่อนครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ทราบนัดแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลจึงมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยโดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์สำนวนแรกและให้จำเลยสำนวนหลังจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์สำนวนหลังตามฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ขอให้เพิกถอนคำพิพากษาและคำสั่งของศาลแรงงานกลางที่สั่งโจทก์ขาดนัดพิจารณา และให้โจทก์แพ้คดีให้ศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์คลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายภาระการพิสูจน์ย่อมตกโจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อนว่าคำสั่งของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ในฐานะคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้วินิจฉัยไม่ชอบดังโจทก์อ้างหรือไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมานำสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนตามฟ้องก็ต้องฟังว่าคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 105/2523 เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า กรณีเช่นนี้ศาลต้องสั่งจำหน่ายคดีหรือจะต้องไต่สวนถึงเหตุแห่งความจำเป็นที่โจทก์ไม่อาจมาศาลตามคำร้อง ก่อนสั่งยกคำร้องนั้น เห็นว่ากรณีมิใช่เรื่องโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน แต่เป็นเรื่องโจทก์ไม่มีพยานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตน จึงไม่มีเหตุที่จะต้องไต่สวนคำร้องของโจทก์ตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน หรือเพิกถอนคำสั่งของศาลแรงงานกลางดังที่โจทก์อุทธรณ์ คำพิพากษาศาลแรงงานกลางชอบแล้ว
พิพากษายืน