คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1271/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พลตำรวจเข้าไปจับหญิงนครโสเภณี เห็นผู้หญิงกับผู้ชายคู่หนึ่งนั่งคุยกันในห้องซึ่งเปิดประตูอยู่ เช่นนี้ ยังเรียกไม่ได้ว่า หญิงคนนั้นกำลังกระทำผิดหรือพยายามกระทำผิด หรือพบโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะกระทำผิดโดยมีเครื่องมืออาวุธหรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการกระทำความผิด หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าได้กระทำความผิดมาแล้ว และจะหลบหนีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 พลตำรวจจึงไม่มีอำนาจจับหญิงนั้นโดยไม่มีหมายจับ กรณีเช่นนี้ ต้องให้เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่จับด้วยตนเองได้ โดยไม่ต้องมีหมายจับ เมื่อการจับกุมของพลตำรวจเช่นนี้ไม่มีกฎหมายสนับสนุนแล้ว การที่จำเลยฆ่าพลตำรวจผู้จับจึงไม่เรียกว่าฆ่าเจ้าพนักงานเพราะเหตุที่กระทำการตามหน้าที่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า พลตำรวจเคลื่อนกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจะทำการจับกุมหญิงนครโสเภณี จำเลยทั้งสองได้สมคบกันต่อสู้ขัดขวางและยิงพลตำรวจเคลื่อนตามโดยเจตนา กับยิงพลตำรวจจำนงโดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไปถูกนายเชาว์มีบาดเจ็บทุพพลภาพ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 119, 120, 250, 60, 63, 64, 71 ขอให้ริบปืนและกระสุนของกลางกับขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีแดงที่ 191/2498

จำเลยทั้งสองปฏิเสธ จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นคน ๆ เดียวกับจำเลยในคดีแดงที่ 191/2498 จริง

ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยทั้งสองทำผิดจริง พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองทำผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 120, 250, 64 ให้ลงโทษตามมาตรา 250 ซึ่งเป็นบทหนัก โดยให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสองแต่คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 และคำให้การชั้นศาลของจำเลยที่ 1-2 มีประโยชน์ในการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามมาตรา 59 คงให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 20 ปี ของกลางริบ นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีแดงที่ 191/2498

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่พลตำรวจเคลื่อนและพลตำรวจจำนงไปจับหญิงนครโสเภณีที่บ้านของจำเลยที่ 1 นั้น ไม่มีหมายจับและไม่ใช่เป็นการกระทำผิดซึ่งหน้าการกระทำของตำรวจทั้งสองจึงเป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจอันชอบด้วยกฎหมายที่จำเลยทั้งสองเข้าขัดขวางย่อมเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน ไม่ผิดกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 120 แต่การที่จำเลยทั้งสองยิงพลตำรวจเคลื่อนและยิงพลตำรวจจำนงแต่ไม่ถูกเป็นการป้องกันสิทธิเกินสมควรแก่เหตุ จึงพิพากษาแก้ว่า จำเลยทั้งสองผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 53 และผิดตามมาตรา 249, 60, 53 ด้วย ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 249, 53 อันเป็นบทหนัก ให้จำคุกคนละ 20 ปี คำให้การของจำเลยทั้งสองมีประโยชน์แก่ทางพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษตามมาตรา 59 คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 13 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยทั้งสองสมคบกันยิงพลตำรวจเคลื่อนและพลตำรวจจำนงจริง

ฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ ข้อเท็จจริงได้ความเพียงว่า เมื่อพลตำรวจจำนงและพลตำรวจจิตรเข้าไปทางหลังร้านของจำเลย เห็นผู้หญิงกับผู้ชายคู่หนึ่งนั่งคุยกันอยู่ในห้องและห้องนี้ก็เปิดประตูอยู่ เช่นนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ยังเรียกไม่ได้ว่าหญิงคนนั้นกำลังกระทำผิดฐานเป็นหญิงนครโสเภณีไม่รับอนุญาต หรือพยายามกระทำผิดหรือพบโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะกระทำผิดโดยมีเครื่องมืออาวุธหรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการกระทำความผิด หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าได้กระทำความผิดมาแล้วและจะหลบหนีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 ด้วยเหตุนี้ พวกพลตำรวจที่ไปจับหญิงนครโสเภณีรายนี้จึงไม่มีอำนาจจับหญิงเหล่านั้นโดยไม่มีหมายจับ กรณีเช่นนี้ ต้องให้เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่จับด้วยตนเองจึงไม่ต้องมีหมายจับ เมื่อการจับกุมของพลตำรวจเคลื่อนไม่มีกฎหมายสนับสนุน การที่จำเลยทั้งสองฆ่าพลตำรวจเคลื่อนจึงไม่เรียกว่าฆ่าเจ้าพนักงานเพราะเหตุที่กระทำการตามหน้าที่ตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 250(2)

ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาฟังต้องกันมีว่า จำเลยที่ 1มิใช่ห้ามไม่ให้พลตำรวจเคลื่อนจับหญิงเท่านั้น แต่จำเลยที่ 1 ได้จับคอเสื้อพลตำรวจเคลื่อนลากขึ้นบันไดจะพาไปชั้นบน ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เช่นนี้ ไม่เกี่ยวกับการป้องกันสิทธิของตนแต่ประการใดเลย พลตำรวจเคลื่อนคงรู้ตัวว่าจำเลยที่ 1 จะพาตัวขึ้นไปกระทำมิดีมิร้าย จึงไม่ยอมขึ้นไป จำเลยที่ 1 ใช้กำลังลากพลตำรวจเคลื่อนขึ้นไปถึงที่พักบันไดก็เกิดการกอดปล้ำกันขึ้นเพียงเท่านี้ก็เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 ใช้กำลังทำร้ายพลตำรวจเคลื่อนเสียแล้ว ไม่ใช่เป็นการป้องกันสิทธิอยู่นั่นเอง ยิ่งจำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 ยิงพลตำรวจเคลื่อนในเวลาต่อมา ยิ่งไม่มีทางจะอ้างว่าเป็นการป้องกันแต่อย่างใดเลย

ศาลฎีกาพิพากษาแก้ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิด 2 กระทง คือฆ่าพลตำรวจเคลื่อนตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 กระทงหนึ่งและพยายามฆ่าพลตำรวจจำนงตามมาตรา 249, 60 อีกระทงหนึ่ง แต่เห็นสมควรลงโทษกระทงที่หนักเพียงกระทงเดียว คือ มาตรา 249 การกระทำของจำเลยทั้งสองร้ายแรงมากควรวางโทษประหารชีวิต คำให้การของจำเลยทั้งสองมีประโยชน์แก่ทางพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษตามมาตรา 59 คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 20 ปี นอกจากที่แก้นี้ยืน

Share