คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4380/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยร่วมได้ลงลายมือชื่อในหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อนาที่มีข้อความระบุว่า ฟ. และ ซ. เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 เนื้อที่ 20 ไร่เศษ ซึ่งจำเลยเช่าทำนาอยู่มีความประสงค์จะขายที่ดินโฉนดแปลงดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นในราคาไร่ละ 60,000 บาทผู้เช่านาได้บอกปฏิเสธไม่ซื้อที่ดินแปลงนี้และยินยอมให้เจ้าของที่ดินขายให้แก่บุคคลอื่นไปได้ อันถือได้ว่าจำเลยร่วมสละสิทธิที่จะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 จำนวน 20 ไร่เศษในราคาไร่ละ 60,000 บาท เป็นเงินกว่า 1,200,000 บาท แล้วก็ตาม แต่ถ้า ฟ. และซ. จะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้บุคคลอื่นในราคาหรือวิธีการชำระเงินที่แตกต่างไปจากราคาและวิธีการที่จำเลยร่วมสละสิทธิ ตามหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อนา ฟ. และ ซ. จะต้องแจ้งให้จำเลยร่วมทราบโดยดำเนินการตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 53 วรรคหนึ่งใหม่ การที่ ฟ. และ ซ. ขายที่นาพิพาทเนื้อที่ 9 ไร่42 ตารางวา ซึ่งแบ่งแยกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 เนื้อที่ 20 ไร่เศษดังกล่าวในราคาไร่ละ 60,000 บาท เป็นเงิน 5 แสนบาทเศษ จึงเป็นการขายที่ดินที่มีจำนวนเนื้อที่และราคาน้อยกว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 ถือได้ว่าเป็นการขายที่ดินในราคาหรือวิธีการชำระเงินที่แตกต่างไปจากราคาและวิธีการที่จำเลยร่วมสละสิทธิตามหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อที่นาดังนี้ ฟ. และ ซ. จึงต้องแจ้งให้จำเลยร่วมทราบโดยดำเนินการตามมาตรา 53 วรรคหนึ่งดังกล่าวข้างต้น จะถือว่าหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อนาฉบับเดิม เป็นการปฏิเสธไม่ซื้อที่นาพิพาทที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 ด้วยไม่ได้ เมื่อ ฟ. และ ซ. ขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วมโดยยังมิได้ดำเนินการตามบทบัญญัติมาตรา 53 วรรคหนึ่งจำเลยร่วมในฐานะผู้เช่านาที่นาพิพาทจึงมีสิทธิซื้อที่นาพิพาทจากโจทก์และโจทก์ร่วมผู้รับโอนที่นาพิพาทได้ตามมาตรา 54
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์และโจทก์ร่วมจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยร่วมผู้เช่านาเดิม และให้จำเลยร่วมชำระเงินค่าที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วมโดยไม่ได้กำหนดระยะเวลาให้จำเลยร่วมนำเงินค่าที่นาพิพาทมาวางศาล ยังไม่สมบูรณ์ ศาลฎีกาจึงแก้ไขโดยกำหนดระยะเวลาให้จำเลยร่วมผู้เช่านานำเงินค่าที่นาพิพาทมาวางศาล มิฉะนั้นให้ถือว่าไม่ติดใจซื้อ
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนมติของ คชก. จังหวัด มิได้ขอให้บังคับผู้ใดให้โอนทรัพย์สินให้แก่โจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลสำหรับฟ้องโจทก์เพียง 200 บาท ตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ 2(ก) ในศาลชั้นต้น โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสิบสี่เป็นคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่ง คชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยาพิจารณาแล้วมีมติกลับคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลพระยาบันลือให้โจทก์ผู้รับโอนขายที่นาพิพาทแก่นายชาลีซึ่งเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 เพราะเจ้าของที่ดินทั้งสองผู้ให้เช่าได้ปฏิบัติถูกต้องตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสิบสี่ตามรายงานการประชุมครั้งที่9/2533 ฉบับลงวันที่ 19 กันยายน 2533

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 และที่ 11 ถึงที่ 14 ให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ลงมติในการประชุมครั้งที่ 9/2533 ลงวันที่ 19 กันยายน2533 เกี่ยวกับข้อพิพาทของโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายทุกประการ กล่าวคือ นางสาวฟ๊ะและนางซ๊ะจะขายที่นาพิพาท แต่มิได้ปฏิบัติตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 เพราะนางสาวฟ๊ะและนางซ๊ะมิได้ทำเป็นหนังสือแสดงความจำนงจะขายที่นาพิพาทพร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธาน คชก. ตำบลพระยาบันลือเพื่อแจ้งให้ผู้เช่าทราบ ผู้ให้เช่านาเพียงแต่แจ้งด้วยวาจาต่อนายชาลีผู้เช่านาเท่านั้น แล้วให้นายชาลีผู้เช่านาลงชื่อปฏิเสธการซื้อนา จึงขัดต่อกฎหมายดังกล่าวถือไม่ได้ว่าผู้ให้เช่าบอกให้ผู้เช่าทราบตามนัยบทบัญญัติมาตรา 53ดังกล่าว คชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เห็นว่า ผู้ให้เช่านาปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมายในการขายนาที่นาพิพาทให้แก่โจทก์ จึงวินิจฉัยลงมติให้นายชาลีมีสิทธิซื้อที่นาพิพาทภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 10 ขาดนัดยื่นคำให้การ

นายชาลี สุวภิญโญภาส ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมและขอให้เรียกนางสำรวย สุขปรุง ภริยาโจทก์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาตทั้งสองกรณี

จำเลยร่วมให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยร่วมได้เช่าที่นาพิพาททำนาโดยไม่มีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือมาตั้งแต่ พ.ศ. 2527 ติดต่อกันตลอดมา ไม่เคยติดค้างค่าเช่า เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2532 นางสาวฟ๊ะ ตะวันทรง และนางซ๊ะ เรืองปราชญ์ผู้ให้เช่ากับโจทก์และพวกสมคบกันหลอกลวงจำเลยร่วมให้ลงชื่อในเอกสารว่าจำเลยร่วมไม่ประสงค์จะซื้อที่นาพิพาทแล้วโอนขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นสามีภริยากันโดยไม่แจ้งให้จำเลยร่วมทราบแต่อย่างใด เป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53 ในการโอนขายที่นาพิพาทนั้น โจทก์และโจทก์ร่วมทราบดีอยู่แล้วว่า จำเลยร่วมยังมีความประสงค์จะซื้อที่นาพิพาทอยู่จึงเป็นการโอนโดยไม่สุจริต จำเลยร่วมผู้เช่านาปฏิเสธไม่ซื้อที่นาพิพาทตามเอกสารท้ายคำฟ้องนั้นเป็นเอกสารปลอมที่ผู้โอนและผู้รับโอนกับพวกร่วมกันกรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในกระดาษซึ่งมีลายมือชื่อจำเลยร่วมลงไว้โดยไม่ได้กรอกข้อความใด ๆเป็นการฝ่าฝืนข้อความจริง และไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยร่วม คชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีมติเป็นเอกฉันท์ให้โจทก์โอนขายที่นาพิพาทแก่จำเลยร่วม และให้รับเงินค่าที่นาพิพาทจากจำเลยร่วมไป 546,300 บาท หากคู่กรณีไม่พอใจให้อุทธรณ์ต่อศาลได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำวินิจฉัยดังกล่าว โจทก์ไม่อุทธรณ์ภายในกำหนดคดีถึงที่สุด จำเลยร่วมได้บอกกล่าวให้โจทก์และโจทก์ร่วมโอนขายที่นาพิพาทให้แก่จำเลยร่วมแล้วแต่โจทก์และโจทก์ร่วมเพิกเฉย ขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์และโจทก์ร่วมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 20723 เนื้อที่ 9 ไร่ 42 ตารางวา ให้แก่จำเลยร่วมภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง หากโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนและให้ส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยร่วมภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง หากโจทก์หรือโจทก์ร่วมไม่ปฏิบัติตามขอให้มีคำสั่งถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สาขาเสนา ออกใบแทนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้จำเลยร่วมเพื่อจำเลยร่วมจะได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อไป จำเลยร่วมจะนำเงินค่าที่ดินจำนวน546,300 บาท มาวางศาลเพื่อให้โจทก์และโจทก์ร่วมรับเอาไปและให้โจทก์และโจทก์ร่วมร่วมกันเสียค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ค่าภาษีบำรุงท้องที่และภาษีเงินได้ของโจทก์และโจทก์ร่วม และหรือค่าธรรมเนียมอื่นใดทั้งหมดเกี่ยวกับการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวด้วย

โจทก์ไม่ได้ให้การแก้ฟ้องแย้ง

โจทก์ร่วมให้การแก้ฟ้องแย้งว่า คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลพระยาบันลือ และคชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไม่ได้เกี่ยวข้องหรือมีคำวินิจฉัยว่าให้โจทก์ร่วมโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของโจทก์ร่วม ให้แก่จำเลยร่วมแต่อย่างใด โจทก์ร่วมจึงไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่นาพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลยร่วม การที่จำเลยร่วมใช้สิทธิในการขอให้โจทก์ร่วมโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของโจทก์ร่วมนั้นขาดอายุความ ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 54 ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยร่วม

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์และโจทก์ร่วมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 20723 เนื้อที่ 9 ไร่ 42 ตารางวา ให้จำเลยร่วมและให้จำเลยร่วมชำระเงินค่าที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วมเป็นจำนวนเงิน 546,300 บาท ในวันจดทะเบียนโอนดังกล่าว หากโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน และให้จำเลยร่วมนำเงินค่าที่ดินจำนวนดังกล่าวมาวางศาลเพื่อให้โจทก์และโจทก์ร่วมรับเอาไป กับให้โจทก์และโจทก์ร่วมส่งมอบโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยร่วม เพื่อนำไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามคำพิพากษาต่อไป ค่าภาษีอากรตลอดจนค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์โจทก์ร่วมกับจำเลยจำเลยร่วมนำสืบรับกันฟังเป็นยุติได้ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 20723 เนื้อที่ 9 ไร่ 42 ตารางวา เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนางสาวฟ๊ะ ตะวันทอง และนางซ๊ะ เรืองปราชญ์ ได้ให้จำเลยร่วมเช่าทำนา ตั้งแต่พ.ศ. 2527 ต่อมาในวันที่ 30 มกราคม 2532 นางสาวฟ๊ะและนางซ๊ะได้จดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดดังกล่าวเป็นเงิน 546,300 บาท แก่โจทก์และโจทก์ร่วม ตามรายการจดทะเบียนหลังโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 วันที่ 29 ธันวาคม 2532 จำเลยร่วมได้ทำหนังสือแสดงความจำนงจะซื้อที่ดินโฉนดดังกล่าวในราคาที่ซื้อมาจากผู้โอนต่อคชก. ตำบลพระยาบันลือตามเอกสารหมาย ล.ร.9 คชก. ตำบลพระยาบันลือได้ประชุมเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2533 วินิจฉัยว่าจำเลยร่วมหมดสิทธิที่จะซื้อที่นาแปลงดังกล่าวคืนเพราะเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2532 จำเลยร่วมได้ปฏิเสธเป็นหนังสือไม่ซื้อนาไปแล้วตามรายงานการประชุมเอกสารหมาย จ.5 วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2533 จำเลยร่วมได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลพระยาบันลือ ต่อ คชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตามเอกสารหมาย ล.ร.10 คชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ประชุมเมื่อวันที่ 19กันยายน 2533 วินิจฉัยกลับคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลพระยาบันลือเป็นว่า ให้จำเลยร่วมมีสิทธิซื้อนาจากโจทก์ผู้รับโอนในราคา 546,300 บาท และได้แจ้งคำวินิจฉัยให้โจทก์และจำเลยร่วมทราบแล้ว ตามเอกสารหมาย จ.6 และ ล.ร.15 โจทก์ไม่พอใจจึงได้ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าว

พิเคราะห์แล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาสรุปได้ว่า จำเลยร่วมในฐานะผู้เช่านาได้ทำหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อที่นาตามเอกสารหมาย จ.4 แล้ว จึงไม่จำต้องดำเนินการตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 อีกนั้น ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าผู้ให้เช่านาจะขายนาได้ต่อเมื่อได้แจ้งให้ผู้เช่านาทราบโดยทำเป็นหนังสือแสดงความจำนงจะขายนา พร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธาน คชก. ตำบลเพื่อแจ้งให้ผู้เช่านาทราบภายในสิบห้าวันและถ้าผู้เช่านาแสดงความจำนงจะซื้อนาเป็นหนังสือยื่นประธาน คชก. ตำบลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ผู้ให้เช่านาต้องขายนาแปลงดังกล่าวให้ผู้เช่านาตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ได้แจ้งไว้ วรรคสามบัญญัติว่า ถ้าผู้เช่านาไม่แสดงความจำนงจะซื้อนาภายในกำหนดสามสิบวันหรือปฏิเสธเป็นหนังสือไม่ซื้อนาหรือแสดงความจำนงจะซื้อนาแต่ไม่ชำระเงินภายในกำหนดเวลาที่ตกลงกันหรือเวลาที่ คชก. ตำบลกำหนด ให้ถือว่าผู้เช่านาหมดสิทธิที่จะซื้อนาตามมาตรานี้ และวรรคสี่บัญญัติว่า ในกรณีผู้เช่านาหมดสิทธิที่จะซื้อนาตามวรรคสามแล้วก็ตาม แต่ถ้าผู้ให้เช่านาจะขายนาให้บุคคลอื่นในราคาหรือวิธีการชำระเงินที่แตกต่างไปจากราคาและวิธีการชำระเงินที่ได้แจ้งให้ผู้เช่านาทราบตามวรรคหนึ่ง ผู้ให้เช่านาต้องดำเนินการตามวรรคหนึ่งใหม่ เห็นว่า แม้จำเลยร่วมได้ลงลายมือชื่อในหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อนาตามเอกสารหมาย จ.4 ที่มีข้อความระบุว่านางสาวฟ๊ะและนางซ๊ะเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 เนื้อที่ 20 ไร่เศษ ซึ่งจำเลยเช่าทำนาอยู่มีความประสงค์จะขายที่ดินโฉนดแปลงดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นในราคาไร่ละ 60,000 บาท ผู้เช่านาได้บอกปฏิเสธไม่ซื้อที่ดินแปลงนี้ยินยอมให้เจ้าของที่ดินขายให้แก่บุคคลอื่นไปได้ อันถือได้ว่าจำเลยร่วมสละสิทธิที่จะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 จำนวน 20 ไร่เศษ ในราคาไร่ละ 60,000 บาทเป็นเงินกว่า 1,200,000 บาท แล้วก็ตาม แต่ถ้านางสาวฟ๊ะและนางซ๊ะจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้บุคคลอื่นในราคาหรือวิธีการชำระเงินที่แตกต่างไปจากราคาและวิธีการที่จำเลยร่วมสละสิทธิ ตามหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อนา เอกสารหมาย จ.4 นางสาวฟ๊ะและนางซ๊ะจะต้องแจ้งให้จำเลยร่วมทราบโดยดำเนินการตามมาตรา 53 วรรคหนึ่งใหม่ ดังนั้น การที่นางสาวฟ๊ะและนางซ๊ะขายที่นาพิพาทโฉนดเลขที่ 20723 เนื้อที่ 9 ไร่ 42 ตารางวา ซึ่งแบ่งแยกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 เนื้อที่ 20 ไร่เศษดังกล่าวในราคาไร่ละ 60,000 บาทเป็นเงิน 5 แสนบาทเศษ จึงเป็นการขายที่ดินที่มีจำนวนเนื้อที่และราคาน้อยกว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 ถือได้ว่าเป็นการขายที่ดินในราคาหรือวิธีการชำระเงินที่แตกต่างไปจากราคาและวิธีการที่จำเลยร่วมสละสิทธิตามหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อที่นาตามเอกสารหมาย จ.4 นางสาวฟ๊ะและนางซ๊ะจึงต้องแจ้งให้จำเลยร่วมทราบโดยดำเนินการตามมาตรา 53 วรรคหนึ่งดังกล่าวข้างต้น จะถือว่าหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อนาตามเอกสารหมาย จ.4 เป็นการปฏิเสธไม่ซื้อที่นาพิพาทโฉนดเลขที่ 20723 ด้วยไม่ได้ เมื่อนางสาวฟ๊ะและนางซ๊ะขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วมโดยยังมิได้ดำเนินการตามบทบัญญัติมาตรา 53 วรรคหนึ่ง จำเลยร่วมในฐานะผู้เช่านาที่นาพิพาทจึงมีสิทธิซื้อที่นาพิพาทจากโจทก์และโจทก์ร่วม ผู้รับโอนที่นาพิพาทได้ตามมาตรา 54 แต่ที่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้กำหนดระยะเวลาให้จำเลยร่วมนำเงินค่าที่นาพิพาทมาวางศาล ศาลฎีกาเห็นว่าไม่สมบูรณ์ศาลฎีกาจึงแก้ไขโดยกำหนดระยะเวลาให้จำเลยร่วมนำเงินค่าที่นาพิพาทมาวางศาลด้วย

อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนมติของ คชก. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มิได้ขอให้บังคับผู้ใดให้โอนทรัพย์สินให้แก่โจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลสำหรับฟ้องโจทก์เพียง 200 บาท ตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ 2(ก) ในศาลชั้นต้นโจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท แต่ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลสำหรับฟ้องโจทก์อย่างคดีมีทุนทรัพย์ไม่ถูกต้อง จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นต้นในส่วนที่โจทก์เสียเกินมาให้แก่โจทก์

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมนำเงินค่าที่นาพิพาทมาวางศาลภายในหกสิบวันนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา มิฉะนั้นให้ถือว่าจำเลยร่วมไม่ติดใจซื้อคืนค่าขึ้นศาลชั้นต้นที่โจทก์เสียเกินมาให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share