คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1268/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิดฐานให้ทรัพย์สินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ปรับ 200 บาท กับให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 8 ปี คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ จำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มีคำสั่งให้โจทก์ออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัด ต่อมาคดีที่โจทก์ถูกฟ้องนั้นถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เช่นนี้ ต้องถือว่า คำสั่งจำเลยดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
พ.ร.บ.ลบล้างมลทินโทษ พ.ศ.2500 ไม่มีผลทำให้คำสั่งของจำเลยที่สั่งไว้ก่อนแล้วเช่นนั้นเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย

ย่อยาว

เรื่องละเมิด ขอให้เพิกถอนคำสั่ง
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลย ๒ คน ต่อมาถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ ศาลอนุญาต
ในฟ้องว่า โจทก์ถูกอัยการราชบุรีฟ้องหาว่าโจทก์ทำผิด พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด พ.ศ.๒๔๘๒ ม.๖๓ ฐานให้ทรัพย์สินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ศาลจังหวัดชลบุรีพิพากษาว่าโจทก์ผิดตามฟ้องปรับ ๒๐๐ บาท กับให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ๘ ปี ตามสำนวนคดีอาญาแดงที่ ๔๓/๒๔๙๙ โจทก์ยื่นอุทธรณ์ คดีนั้นยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุด จำเลยที่ ๒ โดยอนุมัติและเห็นชอบของจำเลยที่ ๑ ได้ออกคำสั่งให้โจทก์ออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัดโดยเหตุที่ศาลจังหวัดชลบุรีพิพากษาว่าโจทก์มีความผิดดังกล่าวข้างต้น การกระทำของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการที่โจทก์ถูกศาลจังหวัดชลบุรีพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งนั้น คดียังไม่ถึงที่สุดโจทก์จึงยังไม่ขาดคุณสมบัติของผู้สมัคร เลือกตั้งตาม พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด ขอให้พิพากษาสั่งเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๒ เลขที่ ๒๖๑/๒๔๙๙ และให้โจทก์คงมีสภาพเป็นสมาชิกสภาจังหวัดชลบุรีตามเดิม
จำเลยให้การว่า จำเลยสั่งการไปตามอำนาจหน้าที่ราชการอันชอบด้วยกฎหมายและโดยสุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
วันชี้สองสถาน จำเลยรับว่า ที่ออกคำสั่งเนื่องจากคดีอาญาแดงที่ ๙๓/๒๔๙๙ ที่ศาลพิพากษาเพิกถอนสิทธิโจทก์ และคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่ศาลพิพากษาปรับและให้เพิกถอนสิทธิ เลือกตั้งของโจทก์เช่นนี้ จำเลยย่อมมีอำนาจสอบสวนสั่งให้โจทก์ออกจากสมาชิกสภาจังหวัดได้ เป็นการกระทำโดยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จึงเป็นการกระทำโดยชอบ พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อคดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้องยังไม่ถึงที่สุด ก็ยังบังคับคดีโทษอาญาไม่ได้ โจทก์ยังไม่ขาดคุณสมบัตินั้น พิพากษากลับว่าโจทก์ยังไม่ขาดคุณสมบัติ คำสั่งของจำเลยไม่ยอม ให้เพิกถอน
ระหว่างฎีกาคดีนี้ คดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้อง ถึงที่สุด โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาเห็นว่า บัดนี้ปรากฎว่าคดีที่โจทก์ถูกฟ้องดังกล่าวนั้น ถึงที่สุดแล้ว โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ต้องถือว่าคำสั่งจำเลยดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย คำฟ้องของโจทก์จึงตกไป
ส่วนที่โจทก์โต้แย้งมาในคำแก้ฎีกาว่า แม้คดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้องถึงที่สุดแล้วก็ดี แต่โจทก์ก็ได้รับนิรโทษกรรมตาม พ.ร.บ.ลบล้างมลทินโทษ พ.ศ.๒๕๐๐ ซึ่งถือว่า โจทก์ไม่เคยทำความผิดมาก่อนเลย นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า พ.ร.บ.ลบล้างมลทินโทษโจทก์อ้าง ไม่มีผลทำให้คำสั่งของจำเลยที่สั่งไว้ก่อนแล้วเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share