แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนาง จ. นาง จ. มีบุตร3 คน คือนายวัน นายเวียนและนายวาย นางจ. นายวันและนายวาน ถึงแก่กรรมไปแล้วโดยนาง จ. ถึงแก่กรรมไปก่อน หลังจากนาง จ. ถึงแก่กรรมนายเวียนครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนปี 2504 จึงยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง การที่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุตรของนายวันและนายวานได้ไปขอนายเวียนทำนาในที่ดินพิพาทก่อนเกิดข้อพิพาทประมาณ 20 ปี แต่นายเวียนไม่ยินยอมอ้างว่า นาง จ. ยกให้แล้วถือได้ว่านายเวียนได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของนาง จ. ในฐานะครอบครองแทนทายาทอื่นมาเป็นการครอบครองเพื่อตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 เมื่อนายเวียนยกที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง และผู้ร้องครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 1738 ตำบลศิลาดานอำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เป็นกรรมสิทธิ์ของนางแจ๋ว ภู่สินซึ่งถึงแก่กรรมไปนานแล้ว ก่อนถึงแก่กรรมนางแจ๋วได้ยกที่ดินดังกล่าวให้นายเวียน ภู่สิน ซึ่งเป็นบุตร และนายเวียนครอบครองที่ดินดังกล่าวตลอดมา เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้วนายเวียนยกที่ดินดังกล่าวให้ผู้ร้องและผู้ร้องครอบครองที่ดินดังกล่าวด้วยความสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่า 10 ปีแล้วขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านทั้งห้าเป็นบุตรของนายวันและนายวาน บุตรของนางแจ๋ว ก่อนถึงแก่กรรมนางแจ๋วมิได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ใดที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกแก่ทายาทคือนายวัน นายเวียนและนายวาน โดยนายเวียนเป็นผู้ครอบครองไว้แทนทายาทอื่น ไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปยกให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องรับโอนที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริต และครอบครองที่ดินพิพาทไม่ถึง10 ปี ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนางแจ๋วภู่สิน นางแจ๋วมีบุตร 3 คน คือนายวัน นายเวียน และนายวานผู้ร้องเป็นบุตรเขยของนายเวียน ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 ที่ 3และที่ 4 เป็นบุตรของนายวัน ผู้คัดค้านที่ 5 เป็นบุตรของนายวานนางแจ๋ว นายวัน และนายวานถึงแก่กรรมไปแล้ว โดยนางแจ๋วถึงแก่กรรมไปประมาณ 40 ปีก่อนนายวันและนายวาน ขณะที่ยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งห้าว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทด้วยการครอบครองตามกฎหมายหรือไม่ ที่ผู้คัดค้านทั้งห้าฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนางแจ๋ว เมื่อนางแจ๋วถึงแก่กรรมแล้ว นายเวียนได้ครอบครองที่ดินพิพาทไว้แทนนายวันและนายวานบิดาของผู้คัดค้านทั้งห้านั้นเห็นว่า นางแจ๋วถึงแก่กรรมไปนาน40 ปีแล้ว หากจะถือว่านายเวียนครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของนางแจ๋วไว้แทนผู้คัดค้านทั้งห้าซึ่งเป็นผู้รับมรดกแทนที่นายวันและนายวานก็ปรากฏจากคำเบิกความของผู้คัดค้านที่ 3 และที่ 5ว่า ก่อนมีข้อพิพาทเกิดขึ้นประมาณ 20 ปี ผู้คัดค้านที่ 3 และที่ 5ได้ไปขอทำนาในที่ดินพิพาทของนายเวียนแล้ว แต่นายเวียนไม่ยอมอ้างว่านางแจ๋วยกให้แล้ว คำเบิกความของผู้คัดค้านที่ 3 และที่ 5จึงได้ความตรงกับคำเบิกความของนายเวียนซึ่งเป็นพยานของผู้ร้องทำให้ฟังข้อเท็จจริงได้ว่า นายเวียนได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของนางแจ๋วในฐานะครอบครองแทนทายาทอื่นมาเป็นการครอบครองเพื่อตนเองแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 จึงฟังไม่ได้ว่านายเวียนครอบครองที่ดินพิพาทแทนนายวันและนายวานบิดาของผู้คัดค้านทั้งห้าส่วนที่ผู้คัดค้านทั้งห้าฎีกาว่า ผู้ร้องกับนายเวียนเบิกความแตกต่างกัน โดยผู้ร้องเบิกความว่า นายเวียนยกที่ดินพิพาทให้ตั้งแต่ปี 2504 แต่นายเวียนเบิกความว่า นายเวียนยกที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องเมื่อประมาณ 10 ปี ก่อนผู้ร้องจะมาร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์นั้น เห็นว่าข้อแตกต่างดังกล่าวหาเป็นสาระสำคัญอันจะทำให้เห็นว่าผู้ร้องและนายเวียน ซึ่งเป็นบุตรเขยและพ่อตามิได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาด้วยความสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องด้วยการครอบครองตามกฎหมายชอบแล้ว
พิพากษายืน