แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การโดยอ้างว่าไม่จงใจขาดนัด ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) จึงอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไม่ได้การที่จำเลยฎีกาในข้อนี้ขึ้นมาจึงต้องห้ามด้วยเช่นเดียวกัน
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจึงไม่มีประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และเรื่องอายุความเมื่อไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ศาลจะอ้างเอาอายุความเป็นมูลยกฟ้องไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2538 จำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์1,200,000 บาท ตกลงชำระหนี้เป็นเช็คฉบับละ 100,000 บาท ในวันทำสัญญา 8 ฉบับส่วนเงินที่ค้างชำระอีก 400,000 บาท จะนำเช็คมามอบให้โจทก์ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม2538 แต่จำเลยไม่นำเช็คที่เหลือมามอบให้โจทก์ตามสัญญา และเมื่อเช็คทั้ง 8 ฉบับ ถึงกำหนดเรียกเก็บเงินธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน 2 ฉบับ จำเลยค้างชำระหนี้โจทก์600,000 บาท โจทก์ทวงถาม แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 671,876.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงินตามเช็ค 2 ฉบับ ฉบับละ 100,000 บาท นับแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน2538 และ 20 มกราคม 2539 ตามลำดับ และของต้นเงิน 400,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยรวมคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 71,876.71 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 200,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2539 และของต้นเงิน 400,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยลงลายมือชื่อผู้กู้ในหนังสือสัญญาชำระหนี้เงินกู้ด้วยเช็คเอกสารหมาย จ.2 และจำเลยได้สั่งจ่ายเช็ค8 ฉบับ ๆ ละ 100,000 บาท ซึ่งรวมทั้งเช็คพิพาท 2 ฉบับ เอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 ให้แก่โจทก์ โจทก์นำเช็คทั้ง 8 ฉบับ ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็คได้ 6 ฉบับ ส่วนเช็คพิพาท 2 ฉบับ ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2538 และวันที่ 22 มกราคม 2539 คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่…
เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมากกว่าพยานจำเลย เชื่อว่าจำเลยกู้เงิน1,200,000 บาท ไปจากโจทก์และยังค้างชำระ 400,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นเรื่องจำเลยไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่นั้นเห็นว่า จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การโดยอ้างว่าไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)จำเลยจึงอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ และที่จำเลยฎีกาในข้อนี้ขึ้นมา จึงต้องห้ามด้วยเช่นเดียวกัน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี นั้นเห็นว่า คดีนี้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จึงไม่มีประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่และในเรื่องอายุความเมื่อไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลจะอ้างเอาอายุความเป็นมูลยกฟ้องไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน