คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มาถึงศาลเมื่อศาลสืบตัวจำเลยเป็นพยานเสร็จแล้วเป็นแต่อ่านคำให้การนั้นให้พยานฟังจวนจะจบคำให้การนั้นโจทก์จึงมาถึงห้องพิจารณาซึ่งศาลได้มีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาแล้ว แล้วโจทก์ก็หายไปอีก ฝ่ายจำเลยคงขอสืบพยานตัวจำเลยปากเดียว เช่นนี้ต้องฟังว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา

ย่อยาว

คดีนี้เดิมโจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องที่นาประมาณ 60 ไร่ ต่างอ้างว่าตนเป็นเจ้าของ ในระหว่างพิจารณา โจทก์ร้องขอให้ศาลห้ามจำเลยไม่ให้เข้าทำนา ในที่สุดคู่ความตกลงกันต่อศาล ให้ประมูลค่าเช่านาในระหว่างเป็นความกัน ฝ่ายใดให้ค่าเช่าสูงได้ทำนาและให้นำเงินหรือหลักประกันมาวางศาลภายใน 1 เดือน สำหรับปีพ.ศ. 2494 โจทก์เป็นผู้ประมูลได้เป็นเงิน 5,100 บาท โจทก์ได้วางเงินเสร็จแล้ว ปี พ.ศ. 2495 ศาลสั่งให้โจทก์เป็นฝ่ายประมูลได้เท่าราคาประมูล พ.ศ. 2494 และโจทก์ได้ทำสัญญาประกันไว้ต่อศาลว่า โจทก์จะนำเงิน 5,100 บาท มาส่งศาลหลังจากเสร็จการเก็บเกี่ยวแล้ว สำหรับปี 2496 โจทก์เป็นผู้ประมูลได้เป็นเงิน16,200 บาท และศาลได้อนุญาตให้โจทก์นำโฉนดมาวางเป็นประกันแทนการวางเงิน โดยโจทก์ได้ทำสัญญาไว้ต่อศาลว่า จะนำเงินมาวางศาลทำนองเดียวกับปีก่อน

ส่วนข้อพิพาทคดีถึงที่สุดชั้นศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ต่อมาวันที่ 18 มีนาคม 2497 จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลขอให้บังคับโจทก์นำเงินค่าเช่านาสำหรับปี 2495 และ 2496 มาวางศาลศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้โจทก์นำเงินค่าเช่านา 2 ปี มาวางศาลภายใน 1 เดือน

วันที่ 27 เมษายน 2497 โจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลว่า โจทก์ได้ทราบคำบังคับของศาลแล้ว เงินค่าเช่านาสำหรับปี พ.ศ. 2495 โจทก์ได้นำมาวางศาลนานแล้ว ส่วนค่าเช่านาปี พ.ศ. 2496 เป็นเงิน16,200 บาท นั้น จำเลยหามีสิทธิขอให้ศาลออกคำบังคับไม่ เมื่อโจทก์ประมูลได้แล้ว จำเลยได้บุกรุกเข้าทำนาเสีย 40 ไร่ และขับไล่บริวารของโจทก์ที่จะทำนาออกหมดสิ้น โจทก์จึงไม่ได้ทำนาตามข้อตกลงประมูล ฝ่ายจำเลยปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำนาอันเป็นสิทธิของโจทก์

ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนโดยให้โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อน กำหนดสืบพยานโจทก์วันที่ 17 มิถุนายน 2497 เวลา 9.00 น. ครั้นถึงวันที่ 17 มิถุนายน 2497 อันเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงขอเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2497 เวลา 9.00 น. ครั้นถึงวันนัดพิจารณาศาลคอยอยู่จนเวลา 10.05 น. ตัวโจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาล จำเลยแถลงขอให้ดำเนินคดีต่อไป ศาลจึงมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา และให้สืบพยานจำเลยไปฝ่ายเดียว เมื่อสืบตัวจำเลยเป็นพยานแล้ว ปรากฏตามรายงานพิจารณาลงวันเดียวกันอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งศาลจดรายงานเมื่อเวลา 10.20 น. มีใจความว่าเมื่อสืบตัวจำเลยเบิกความจบ 1 ปาก และอ่านให้จำเลยฟังจวนจบคำให้การแล้ว นางลิ้นจี่โจทก์เดินเข้ามาในห้องพิจารณา แถลงว่าเข้าใจว่าวันนี้เป็นวันนัดเพื่อตกลงกัน ไม่ใช่นัดสืบพยาน ศาลได้อ่านรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2497 ให้นางลิ้นจี่โจทก์ฟังว่า วันนี้เป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ ไม่ใช่นัดตกลงกันและทนายโจทก์ก็ลงชื่อไว้ในบัญชีนัด เมื่อจดรายงานฉบับหลังนี้แล้วจะอ่านรายงานฉบับหลังให้นางลิ้นจี่ โจทก์ฟังเมื่อเวลา 11 น.นางลิ้นจี่โจทก์ไม่มีตัวอยู่ในศาลได้ให้เสมียนหน้าบัลลังก์เรียกตัวนางลิ้นจี่ แต่ก็ไม่มีตัวอยู่ในศาล ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าการพิจารณาฟังได้ตามคำเบิกความของจำเลยว่า โจทก์ยังไม่ได้ส่งเงินค่าประมูลการทำนาสำหรับปี พ.ศ. 2495 เงิน 5,100 บาท สำหรับปี พ.ศ. 2496 เงิน 16,200 บาท และฟังไม่ได้ว่าจำเลยบุกรุกเข้าแย่งการทำนาที่โจทก์ประมูลได้ตามที่โจทก์แถลง จึงสั่งให้โจทก์ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลซึ่งได้ออกไปแล้ว

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาข้ออุทธรณ์ของโจทก์ที่อ้างว่า โจทก์มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา เพราะโจทก์และทนายมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯเป็นเพราะการเดินทางล่าช้า และเกิดป่วยขึ้นกระทันหัน แล้วเห็นว่าโจทก์จะมาอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ให้สั่งศาลชั้นต้นให้ดำเนินการสืบพยานโจทก์เช่นนี้ไม่ได้ โจทก์จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาใหม่ตามมาตรา 207, 208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ส่วนข้ออุทธรณ์ที่ว่า อย่างน้อยโจทก์ควรจะได้หักค่าเสียหายจากค่าประมูลทำนานั้น เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบถึงเรื่องจำเลยแย่งทำนาแล้ว ก็ไม่มีข้อเท็จจริงในข้อนี้ จึงไม่มีเหตุที่จะหักค่าเสียหายจากค่าประมูล ดังอุทธรณ์ของโจทก์ได้

ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อว่า การประมูลนาไม่มีปรากฏในคำพิพากษาชั้นที่สุด จำเลยจะอาศัยคำพิพากษานั้นบังคับเอาแก่โจทก์ในเรื่องการประมูลนาหาชอบไม่ ถึงจะมีข้อตกลงกันไว้ก็เป็นเพียงอาญาและเป็นเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ในอุทธรณ์ข้อนี้ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่จำเลยขอให้ศาลสั่งบังคับโจทก์ให้ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้ต่อศาลเกี่ยวกับคดีที่ศาลกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่ศาลย่อมทำได้ไม่เป็นการผิดกฎหมาย เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้ต่อศาล ศาลย่อมมีอำนาจสั่งบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาได้เพราะเป็นการสั่งไปภายในกรอบกระบวนการพิจารณานั้นนั่นเองจึงพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ยกอุทธรณ์โจทก์เสีย ให้โจทก์เสียค่าทนายชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย 200 บาท

โจทก์ฎีกาต่อมาว่า ในเรื่องโจทก์ขาดนัดพิจารณาเช่นเรื่องนี้ศาลกำลังพิจารณาอยู่ ตัวจำเลยกำลังยืนในคอกพยาน ตัวโจทก์ก็ได้มาถึงศาล เช่นนี้ เป็นปัญหาว่าจะถือว่าโจทก์ขาดนัดได้หรือไม่และการประมูลค่าเช่านาในเรื่องนี้ ไม่มีปรากฏในคำพิพากษาคดีถึงที่สุด จำเลยจะอาศัยคำพิพากษาแห่งคดีนี้มาบังคับโจทก์ในเรื่องประมูลการทำนาหาชอบด้วยกฎหมายไม่ ข้อตกลงเรื่องประมูลค่าเช่านาเป็นเพียงสัญญาอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จึงขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคดีนี้ใหม่ หรือพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสีย

ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาปัญหาที่โจทก์ฎีกามาแล้ว เห็นว่าเกี่ยวแก่เรื่องขาดนัดพิจารณาคดีของโจทก์นี้ มีมาตรา 201 และ205 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ยกมาใช้แก่เรื่องของโจทก์ได้มาตรา 201 ว่าด้วยเรื่องโจทก์ขาดนัดพิจารณา ถ้าโจทก์ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์โดยชอบแล้ว โจทก์ขาดนัดพิจารณา ให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์เสียจากสารบบความ เว้นแต่จำเลยจะขอให้ดำเนินการพิจารณาต่อไป เรื่องของโจทก์นี้ไม่มีทางจะจำหน่ายคดีจากสารบบความเพราะเป็นเรื่องที่ศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้วแต่เป็นเรื่องที่ศาลจะไต่สวนหรือพิจารณาต่อไปว่า จำเลยเข้าแย่งทำนา ที่โจทก์ประมูลการทำนาได้ดังโจทก์ขอต่อศาลจริงหรือไม่และจำเลยก็ร้องขอให้พิจารณาต่อไป เพราะโจทก์ขาดนัดไม่มาศาลตามกำหนดเวลานัดของศาล ศาลจึงสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา และชี้ขาดตัดสินไปฝ่ายเดียวได้

มาตรา 205 วรรคต้น กฎหมายไม่ยอมให้ศาลพิพากษา ให้คู่ความฝ่ายที่ไม่ขาดนัดชนะคดี โดยอาศัยเหตุแต่เพียงฝ่ายที่ขาดนัดไม่มาศาลกล่าวคือ ต้องสืบพยานตามที่จำเป็นอันเกี่ยวกับข้ออ้างของฝ่ายที่ไม่ขาดนัดแล้วจึงให้พิพากษาหรือสั่ง

วรรค 3 ถ้าศาลเห็นว่า การขาดนัดนั้นเป็นไปโดยจงใจ หรือไม่มีเหตุอันสมควร ก็ให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไป แต่

(1) ไม่อนุญาตให้คู่ความที่ขาดนัดนำพยานเข้าสืบ ถ้าคู่ความนั้นมาศาลเมื่อพ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบแล้ว

(2) ถ้าคู่ความที่ขาดนัดมาศาล เมื่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบไปแล้ว ห้ามไม่ให้ศาลยอมให้คู่ความที่ขาดนัดคัดค้านพยานหลักฐานเช่นว่านั้น โดยวิธีถามค้านพยานของฝ่ายที่ได้สืบไปแล้ว แต่ถ้าคู่ความที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบยังไม่สมบูรณ์ คู่ความที่ขาดนัดหักล้างได้แต่เฉพาะพยานหลักฐานที่นำสืบภายหลังที่ตนมาศาลเท่านั้น

เรื่องของโจทก์นี้ โจทก์มาถึงศาลเมื่อศาลสืบตัวจำเลยเป็นพยานเสร็จแล้ว เป็นแต่อ่านคำให้การนั้นให้พยานฟังจวนจะจบคำให้การนั้นโจทก์จึงมาถึงห้องพิจารณา ซึ่งศาลได้มีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาแล้ว แล้วโจทก์ก็หายไปเสียอีก ฝ่ายจำเลยคงขอสืบพยานตัวจำเลยปากเดียว เช่นนี้ ต้องฟังว่า โจทก์ขาดนัดพิจารณาตามกฎหมายที่กล่าวแล้ว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์เป็นอันฟังไม่ขึ้น

ส่วนปัญหาข้อหลัง ที่โจทก์เถียงว่า ศาลบังคับเรื่องการประมูลค่าเช่านา ซึ่งโจทก์จำเลยได้ตกลงประมูลการทำนากันดังเรื่องของโจทก์นี้ไม่ได้นั้น เรื่องเช่นนี้ ศาลบังคับได้ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 1217/2499 คดีระหว่าง นางลิ้นจี่ ชยากร โจทก์ นายพรหม เกษรจำเลย ได้วินิจฉัยไว้เป็นแบบอย่างแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้เป็นอันตกไป

เรื่องนี้ปรากฏชัดว่า ศาลมีคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์ผู้ขาดนัดพิจารณาเป็นผู้แพ้คดี คือ ไม่ฟังตามข้อเสนอของโจทก์ที่ขอต่อศาลโจทก์ย่อมร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้ตามมาตรา 207 และ 208 แต่โจทก์กลับยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นแทนที่จะร้องขอให้พิจารณาใหม่ตามความที่บัญญัติไว้ในมาตรา 207(3) โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้ตามความในมาตรา 207 นี้เองฎีกาของโจทก์เป็นอันฟังไม่ขึ้น

เหตุนี้จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์เสีย ค่าทนายในชั้นฎีกาให้เป็นพับไป

Share