คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1779/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อได้ความว่าจำเลยสมรู้ให้เจ้าพนักงานกระทำผิดตามมาตรา136 แล้วแม้จำเลยจะเป็นราษฎรก็ตามก็ย่อมมีความผิดฐานเป็นผู้สมรู้ในความผิดที่เจ้าพนักงานกระทำนั้น
ผู้สมรู้ก็เป็นกระทำผิดเมื่อความผิดนั้นๆ ต้องตามบทมาตราใน พระราชบัญญัติกักกันฯก็ลงโทษกักกันผู้สมรู้นั้นได้ พระราชบัญญัติกักกันฯมิได้ประสงค์ให้ลงโทษแต่เฉพาะตัวการไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองได้แสดงตนต่อนางฮุ้ยจิงว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานแล้วจับนางฮุ้ยจิง โดยแกล้งกล่าวหาว่านางฮุ้ยจิงเล่นการพนันสลากกินรวบ แล้วควบคุมพาไปที่ต่าง ๆ ให้ปราศจากความเป็นอิสระแก่ตน และบังคับให้นางฮุ้ยจิงหาเงินให้แก่จำเลย 5,000 บาท

วันเดียวกันจำเลยทั้งสองไปแสดงตนต่อนายจั้กฮวง สามีนางฮุ้ยจิงว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจแล้วจับหาว่าเล่นการพนันสลากกินรวบพาไปที่ต่าง ๆ และบังคับให้นายจั้กฮวงหาเงินมาให้จำเลย 2,000 บาท นายจั้กฮวงกลัวจึงให้เงินแก่จำเลย 100 บาท จำเลยยึดใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวและบังคับให้นำเงิน 1,910 บาทมาให้แก่จำเลยในวันต่อมานายจั้กฮวงก็ได้นำเงินไปให้

จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 254 พ้นโทษไปยังไม่เกิน 5 ปี จำเลยที่ 2 เคยต้องโทษจำคุกหลายครั้ง พ้นโทษไปแล้วมาทำผิดคดีนี้อีกใน 3 ปี โทษครั้งก่อนและครั้งนี้เป็นความผิดอาญาอันเป็นเหตุร้ายตามกฎหมายขอให้ลงโทษตามมาตรา 127, 136, 270, 303,63, 71, 72, 73 พระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญา พ.ศ. 2484มาตรา 3 พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนด พ.ศ. 2484 มาตรา 3 และพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ. 2479 มาตรา 8, 9 ฯลฯ

จำเลยทั้งสองปฏิเสธ แต่แถลงว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษมาตามใบแดงแจ้งโทษท้ายฟ้องจริง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 127, 136, 270, 303 พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญาพ.ศ. 2484 มาตรา 3 พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดดังกล่าวพ.ศ. 2484 มาตรา 3 ให้รวมกระทงลงโทษตามมาตรา 71 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี และให้เพิ่มโทษตามมาตรา 72 แต่ลดโทษเพราะคำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาตามมาตรา 59 ให้ 1 ใน 3เป็นอันกลบลบกันไปกับโทษที่เพิ่มคงให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ให้จำคุก 2 ปี เพิ่มโทษตามมาตรา 73 กึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 3 ปี เมื่อพ้นโทษแล้วให้ส่งตัวไปกักกัน 3 ปี ตามพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ. 2479 มาตรา 8, 9 ฯลฯ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 136, 270 และพระราชกำหนดพระราชบัญญัติตามที่โจทก์อ้าง จำเลยที่ 2 ผิดตามมาตรา 270 และผิดตามมาตรา 136ประกอบด้วยมาตรา 65 และพระราชกำหนดพระราชบัญญัติดังกล่าวส่วนกำหนดโทษ การเพิ่มโทษ การกักกัน และการคืนใบสำคัญคนต่างด้าวให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ผู้เดียวฎีกา

ศาลอาญาเห็นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม จึงสั่งไม่รับฎีกา

จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง

ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 3(1) และ (7) จำเลยโต้เถียงเป็นปัญหาข้อกฎหมายจึงสั่งให้รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้

ฎีกาข้อ 3(1) จำเลยที่ 2 ค้านว่า จำเลยที่ 2 เป็นราษฎรการกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 136ประกอบด้วยมาตรา 65

ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้สมรู้ให้เจ้าพนักงานกระทำผิด ย่อมมีความผิดฐานเป็นผู้สมรู้ในความผิดที่เจ้าพนักงานกระทำนั้น

ฎีกาข้อ 3(7) จำเลยกล่าวว่า พระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ. 2479 ประสงค์ให้ลงโทษแก่ผู้กระทำผิดที่เป็นตัวการส่วนจำเลยเป็นเพียงผู้สมรู้ จึงลงโทษกักกันแก่จำเลยไม่ได้

ศาลฎีกาเห็นว่าผู้สมรู้ก็เป็นผู้กระทำผิด เมื่อความผิดนั้น ๆ ต้องตามบทมาตราในพระราชบัญญัติกักกันฯ ก็ลงโทษกักกันผู้สมรู้นั้นได้ พระราชบัญญัติกักกันฯ มิได้ประสงค์ให้ลงโทษแต่เฉพาะตัวการดังจำเลยโต้แย้งมา

พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาจำเลยที่ 2 เสีย

Share