แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ. 2522 มาตรา 35 ที่บัญญัติว่า เมื่อได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งใดจนถึงวันเลือกตั้ง ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจะจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น หรือให้งดเว้นมิให้ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครใดด้วยวิธีการดังนี้(1) จัดทำ ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด”จะเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่า ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ว่าในเขตเลือกตั้งใด กฎหมายมุ่งประสงค์ที่จะห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดที่มิใช่ผู้สมัครกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจะจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่นด้วยวิธีการจัดทำให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใดดังนั้น ผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวด้วยการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ว่าด้วยการจัดทำ ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด ย่อมเป็นการกระทำความผิดสำเร็จ ขณะที่จำเลยทั้งสองถูกจับและเจ้าพนักงานตำรวจยึดของกลางทั้งหมดได้ จำเลยทั้งสองได้จัดทำธนบัตรของกลางทั้ง11,400,000 บาท ไว้พร้อมที่จะนำไปแจกจ่ายหรือให้แก่ผู้เลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อในเขตอำเภอ ซึ่งอยู่ในเขตเลือกตั้งแล้ว ด้วยการนำธนบัตรชนิดราคา 100 บาท กับชนิดราคา 20 บาท ที่มีตรายางรูปยันต์ประทับตรงบริเวณลายน้ำพระบรมฉายาลักษณ์ มาเย็บติดกันเป็นชุด ชุดละ 20 บาท และมัดรวมกัน มัดละ 100 ชุด ใส่ถุงพลาสติกบรรจุในกล่องกระดาษและถุงทะเล ไว้พร้อม ดังนั้น โดยลักษณะของการกระทำดังกล่าวถือว่าจำเลย ทั้งสองจัดทำธนบัตรของกลางซึ่งเป็นทรัพย์สินเพื่อจะจูงใจให้บรรดาผู้เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครในเขตเลือกตั้งนั้นแล้ว แม้จำเลยทั้งสองจะยังไม่ได้แจกจ่ายหรือให้ธนบัตรนั้นแก่บรรดาผู้เลือกตั้งทั้งหลายจำเลยทั้งสองก็กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 35(1) สำเร็จแล้ว โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเอาผิดแก่การจัดทำธนบัตรของกลางของจำเลยทั้งสองซึ่งถือว่าเป็นความผิดสำเร็จมาด้วย โจทก์คงบรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองแต่เพียงว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนาพยายามให้ทรัพย์สินแก่ผู้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้ง เพื่อจะจูงใจให้บรรดาผู้เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งดังกล่าวลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครในเขตเลือกตั้งนั้นสถานเดียวเท่านั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย ทั้งสองตามที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งสองเพียงการพยายามให้ทรัพย์สินแก่ผู้เลือกตั้งสถานเดียว ดังนั้นจึงต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเพียงขั้นตระเตรียมการให้ทรัพย์สินแก่ผู้เลือกตั้งอันไม่เป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 35(1)ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาหรือไม่ ขณะที่จำเลยทั้งสองถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับพร้อมของกลางคงเหลือเวลาอีกเพียง 3 วัน ก็จะถึงกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนับว่าเป็นระยะเวลาที่ใกล้ชิดกับวันเลือกตั้งมากแล้ว ประกอบกับลักษณะธนบัตรของกลางที่จำเลยทั้งสองจัดทำขึ้นเป็นชุดพร้อมที่จะนำไปแจกจ่ายหรือให้แก่บรรดาผู้เลือกตั้งดังกล่าวได้ตามบัญชีรายชื่อหัวคะแนนแต่ละหมู่บ้านบัญชีรายชื่อแกนนำ บัญชีรายชื่อผู้รับผิดชอบแต่ละตำบลในอำเภอบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้ง (ส.ส.13) ของอำเภอ ตารางแสดงจำนวนหมู่บ้าน ตลอดจนข้อมูลหน่วยเลือกตั้งตำบลต่าง ๆ ในอำเภอในเขตเลือกตั้งดังนั้นที่จำเลยทั้งสองรวบรวมไว้แล้ว ซึ่งแสดงว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาจะให้ทรัพย์สินเพื่อจะจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งจะให้แก่ผู้สมัคร และจำเลยทั้งสองก็ได้เตรียมจัดหาทรัพย์สิน คือธนบัตรชนิดราคา 100 บาท และชนิดราคา 20 บาท รวมทั้งของกลางต่าง ๆ ดังกล่าว แล้วจำเลยทั้งสองได้ลงมือดำเนินการตามเจตนาข้างต้นโดยนำธนบัตรมาเย็บติดกันเป็นชุดมัดรวมกัน มัดละ 100 ชุดบรรจุในกล่องกระดาษและถุงทะเลเสร็จพร้อมที่จะนำไปให้แก่บุคคลผู้เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งได้ทันที่ การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ล่วงไปถึงขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการนำธนบัตรของกลางไปแจกจ่ายหรือให้แก่บรรดาผู้เลือกตั้งเพื่อจะจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครที่จำเลยทั้งสองให้การสนับสนุน เป็นการกระทำที่ใกล้ชิดต่อความผิดสำเร็จที่จะเกิดขึ้น ถือว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองพ้นขั้นตระเตรียมการเข้าสู่การลงมือกระทำความผิดแล้ว หากแต่ไม่สำเร็จเพราะเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้เสียก่อนมิฉะนั้นแล้วจำเลยทั้งสองก็จะกระทำความผิดต่อไปได้สำเร็จจำเลยทั้งสองย่อมมีความผิดฐานพยายามให้ทรัพย์สินแก่ผู้เลือกตั้งเพื่อจะจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครดังที่โจทก์ฟ้องแล้ว และธนบัตรของกลางกับของกลางอื่นถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้ริบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันเวลาที่อยู่ในระหว่างวันที่ได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาและกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำเลยทั้งสองมีเจตนาให้ทรัพย์สินแก่ผู้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดบุรีรัมย์ คือ นายธวัชชัย พรหมโลก นางสาวสุภาพร บุญธงนางสาวโกศล เพชรจรัส นายวิชิระ นภวงศ์ ณ อยุธยา นางอุไรปัดถา นายนรินทร์ ขันรัมย์ นางสาววิสาข์พรรณ มณีวรรณนางสาวจินตนา เสารีรัมย์ นายธีรพร มณีวรรณ นายสุพิชัย เนืองสานายจิตรกร อดุลย์ชัยประสาร นางพิลาวัณย์ ไชยคุณ นางสาวกานดาธำรงวงศ์สวัสดิ์ กับบุคคลผู้มีชื่ออีกหลายคน และผู้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดบุรีรัมย์คือ นายน้อย สุขวิเศษ นายเฉลา ฉิมรัมย์ นายเกษม สุขรัมย์นายนา สุขวิบูลย์ นายสมบุรณ์ รนเฟื้อม นายบุญดี แซ่เตียนายแดง อาจปรุ นายธงสิทธิ์ เชียรรัมย์นายวิโรจน์ บุญจันทร์อัฒน์ นายสวัด จันทร์ศรี นายธง แมนสืบชาตินายสิทธิชัย วานิชกิจ นายวิเชียร พงษ์ไธสง กับบุคคลผู้มีชื่อหลายคน เพื่อจะจูงใจให้บรรดาผู้เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1ดังกล่าวลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่นายเนวิน ชิดชอบนายประสิทธิ์ ตั้งศรีเกียรติกุล และนายทรงศักดิ์ ทองศรีผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตเลือกตั้งที่ 1จังหวัดบุรีรัมย์ หมายเลข 4, 5 และ 6 และเพื่อจะจูงใจให้บรรดาผู้เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 2 ดังกล่าวลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่นายชัย ชิดชอบ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดบุรีรัมย์หมายเลข 10 จำเลยทั้งสองลงมือกระทำความผิดแล้วโดยจัดหาทรัพย์สินเป็นเงิน 11,400,000 บาท ประกอบด้วยธนบัตรชนิดราคา100 บาท และชนิดราคา 20 บาท ตรายางรูปยันต์บัตรพิมพ์ภาพโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครหมายเลข 4, 5 และ 6 ในเขตเลือกตั้งที่ 1 บัญชีรายชื่อหัวคะแนน บัญชีรายชื่อแกนนำบัญชีรายชื่อผู้รับผิดชอบแต่ละตำบล ตารางแสดงจำนวนหมู่บ้าน หน่วยผู้มีสิทธิของอำเภอลำปลายมาศและเอกสารอื่น ๆ รวมทั้งแถบบันทึกภาพอันเป็นทรัพย์สินและอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อจะจูงใจผู้เลือกตั้งดังกล่าว แล้วจำเลยทั้งสองนำธนบัตรชนิดราคา 100 บาท กับชนิดราคา 20 บาท จำนวนดังกล่าวเย็บติดกันเป็นชุด รวมเป็นเงินชุดละ 120 บาท และใช้ตรายางประทับรูปยันต์ลงบนธนบัตรชนิดราคา20 บาท อันเป็นการจัดหาและกระทำการตามขั้นตอนที่พร้อมให้ทรัพย์สินแก่บรรดาผู้เลือกตั้งได้ทันทีในระยะเวลาที่ใกล้ชิดกับวันลงคะแนนเลือกตั้ง เพื่อจะจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1หมายเลข 4, 5 และ 6 กับผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 2 หมายเลข 10 ดังกล่าว แต่กระทำไปไม่ตลอด เพราะเจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบถึงการกระทำของจำเลยทั้งสองและจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมกับยึดทรัพย์สินและอุปกรณ์ของกลางจำเลยทั้งสองจึงไม่อาจให้เงินจำนวน 11,400,000 บาท แก่ผู้เลือกตั้งเขตเลือกตั้งที่ 1และเขตเลือกตั้งที่ 2 ได้สมดังเจตนาจำเลยทั้งสอง ครั้นวันที่29 มิถุนายน 2538 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้และยึดธนบัตรชนิดราคา 100 บาท กับชนิดราคา 20 บาท รวมเป็นเงิน 11,400,000 บาท ตรายางรูปยันต์ บัตรพิมพ์ภาพโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครหมายเลข 4, 5 และ 6 บัญชีรายชื่อหัวคะแนนบัญชีรายชื่อแกนนำบัญชีรายชื่อผู้รับผิดชอบแต่ละตำบล ตารางแสดงจำนวนหมู่บ้านหน่วยของผู้มีสิทธิและสิ่งของต่าง ๆ อีกหลายรายการซึ่งจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้และมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 35(1), 91 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 มาตรา 22 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17, 33, 80, 86 ริบเป็นเงินของกลางจำนวน 11,400,000 บาท กับของกลางอื่นของกลางท้ายฟ้องและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งสองมีกำหนด 10 ปี
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ให้ริบของกลางทั้งหมด
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ. 2522 มาตรา 35(1), 91 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 10,000 บาท การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเพียงขั้นพยายามกระทำความผิดยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายมากนัก โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งสองมีกำหนด 10 ปี ริบของกลาง
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าวันเกิดเหตุเป็นวันและเวลาที่อยู่ในระหว่างมีประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรและกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป เจ้าพนักงานตำรวจศูนย์ป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพลภายใต้การบังคับบัญชาของพลตำรวจตรีเสรี เตมียเวส ได้ร่วมกับเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองบุรีรัมย์ได้ตรวจค้นบ้านจำเลยทั้งสองพบธนบัตรจำนวน 11,400,000 บาท เป็นธนบัตรชนิดราคา 100 บาทและชนิดราคา 20 บาท มีลวดเย็บกระดาษเย็บติดกันเป็นชุด ชุดละ120 บาท แล้วมัดติดกันเป็นมัด มัดละ 100 ชุด ธนบัตรบางส่วนซึ่งเป็นส่วนน้อยยังไม่ได้เย็บติดกัน ธนบัตรชนิดราคา 20 บาททุกฉบับมีตรายางรูปยันต์ประทับตรงบริเวณลายน้ำพระบรมฉายาลักษณ์ธนบัตรทั้งหมดใส่ถุงพลาสติกบรรจุไว้ในกล่องกระดาษและในถุงทะเลซุกซ่อนอยู่บริเวณที่เก็บกล่องกระดาษบรรจุเครื่องใช้ไฟฟ้าที่นำออกไปจำหน่ายแล้วจำนวนหลายกล่องในห้องโถงชั้นที่ 3 ของบ้านบริเวณหน้าห้องนอนจำเลยทั้งสอง และพบของกลางอื่น ๆบรรจุอยู่ในกล่องกระดาษบริเวณเดียวกันกับที่พบกล่องกระดาษบรรจุธนบัตรอีกหลายรายการ เช่น เครื่องเย็บกระดาษ ลวดเย็บกระดาษกล่องเปล่าที่ใช้บรรจุลวดเย็บกระดาษ ปากกาเมจิก ใบประหน้ารัดธนบัตรปลอกกระดาษคาดธนบัตร ครีมแตะนิ้วสำหรับใช้นับธนบัตรตรายาง รูปยันต์ แท่นหมึกประทับตรายาง แถบบันทึกภาพการปราศรัยหาเสียงของนายชัย ชิดชอบ และนายเนวิน ชิดชอบ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดบุรีรัมย์ เขตเลือกตั้งที่ 2 และเขตเลือกตั้งที่ 1 ตามลำดับ จำนวน 17 ม้วน บัตรพิมพ์ ภาพโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครหมายเลข 4, 5 และ 6 จำนวน2,030 แผ่น บัญชีรายชื่อราษฎรตำบลต่าง ๆ ในอำเภอลำปลายมาศซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตเลือกตั้งที่ 2 บัญชีรายชื่อหัวคะแนนแต่ละหมู่บ้าน บัญชีรายชื่อแกนนำและบัญชีรายชื่อผู้รับผิดชอบแต่ละตำบลในอำเภอลำปลายมาศ ตารางแสดงจำนวนหมู่บ้านและบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้ง (ส.ส.13) ของอำเภอเมืองบุรีรัมย์ ข้อมูลหน่วยเลือกตั้งตำบลต่าง ๆ ในอำเภอลำปลายมาศ เจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยทั้งสองและยึดของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวนกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดในคดีนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ฐานพยายามให้ทรัพย์สินแก่ผู้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 และเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดบุรีรัมย์ ดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยรับฟังจากข้อนำสืบของโจทก์แล้วเห็นได้ว่าโจทก์มีทั้งพยานบุคคลได้แก่เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมตรวจค้นจับกุมจำเลยทั้งสองกับพยานวัตถุได้แก่ธนบัตรของกลางจำนวน11,400,000 บาท กับของกลางอื่นตามบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.29 เป็นพยานหลักฐาน เมื่อพิจารณาถึงว่าพยานบุคคลที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมตรวจค้นจับกุมและยึดของกลางเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งส่วนใหญ่มียศและตำแหน่งหน้าที่ราชการสูง ทุกคนปฏิบัติงานไปตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากการนำสืบของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดว่าเจ้าพนักงานตำรวจผู้ตรวจค้นจับกุมคนหนึ่งคนใดปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจค้นจับกุมโดยมิชอบแต่ประการใด คำเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวไม่มีพิรุธให้เป็นที่สงสัยว่าจะแกล้งปรักปรำจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธนบัตรของกลางและของกลางรายการอื่นย่อมรับฟังได้ดังที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้ตรวจค้นจับกุมเบิกความว่า ขณะตรวจค้นจับกุมธนบัตรของกลางเกือบทั้งหมดได้เย็บติดกันเป็นชุด โดยธนบัตรชนิดราคา 100 บาท เย็บติดกับธนบัตรชนิดราคา 20 บาท ด้วยลวดเย็บกระดาษ เฉพาะธนบัตรชนิดราคา 20 บาท ทุกฉบับมีตรายางรูปยันต์ประทับตรงบริเวณลายน้ำพระบรมฉายาลักษณ์ และยังได้ความจากทางนำสืบของโจทก์อีกว่าเมื่อนำตรายางของกลางประทับบนกระดาษแล้วนำตรายางรูปยันต์นั้นไปเปรียบเทียบกับตรายางรูปยันต์ธนบัตรชนิดราคา 20 บาท ของกลางปรากฏว่าตรายางรูปยันต์มีลักษณะเหมือนกันทุกประการ เชื่อได้ว่าตรายางรูปยันต์บนธนบัตรชนิดราคา 20 บาท ของกลางทุกฉบับจะต้องประทับด้วยตรายางรูปยันต์ของกลางอย่างแน่นอน ส่วนของกลางรายการอื่น เช่น เครื่องเย็บกระดาษ ลวดเย็บกระดาษ ก็ปรากฏว่ามีขนาดเดียวกันกับที่เย็บธนบัตรของกลาง ใบปะหน้า รัดธนบัตรปลอกกระดาษคาดธนบัตร วงพลาสติก สำหรับรัดธนบัตร แท่นหมึกประทับตรายางมีสีตรงกับสีหมึกที่ประทับในธนบัตร ครีมแตะนิ้วสำหรับใช้นับธนบัตรและกล่องเปล่าที่ใช้บรรจุลวดเย็บกระดาษต่างก็เป็นของกลางที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือใช้กับธนบัตรของกลางทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จำเลยที่ 1 เบิกความรับว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้นำธนบัตรของกลางทั้งหมดไปเก็บซุกซ่อนไว้เองซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องเป็นสามีภริยากันและของกลางทั้งหมดซึ่งมีจำนวนมากถูกนำมาซุกซ่อนไว้บริเวณหน้าห้องนอนจำเลยทั้งสองยากที่บุคคลภายนอกจะนำเอาของกลางดังกล่าวมาซุกซ่อนไว้ โดยที่จำเลยทั้งสองไม่มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องด้วยเพราะบริเวณนั้นแม้จะเป็นห้องโถงนอกห้องนอนจำเลยทั้งสองก็ตาม แต่ลักษณะของบริเวณดังกล่าวบ่งบอกได้ว่าเป็นสถานที่ส่วนตัวของจำเลยทั้งสองมากกว่าที่จะเป็นสถานที่ที่ปล่อยให้ผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งมิใช่บุคคลในครอบครัวเดินผ่านเข้าออกหรือนำเอาสิ่งของอย่างหนึ่งอย่างใดไปเก็บหรือซุกซ่อนไว้โดยพลการได้ กรณีไม่น่าเชื่อว่าลูกจ้างหรือคนงานภายในร้านจำเลยทั้งสองจะกล้านำเอาของกลางเหล่านั้นไปซุกซ่อนไว้โดยที่จำเลยทั้งสองมิได้อนุญาตหรือมีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นด้วย ศาลฎีกาจึงเชื่อว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันจัดทำธนบัตรของกลางในลักษณะดังกล่าวและเป็นผู้นำเอาของกลางทั้งหมดไปซุกซ่อนไว้ในบริเวณที่เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบประกอบกับของกลางที่ค้นพบยังมีแถบบันทึกภาพการปราศรัยหาเสียงของนายชัยและนายเนวินผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์จำนวน17 ม้วน บัตรพิมพ์ภาพโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครหมายเลข 4, 5 และ 6 พรรคชาติไทยจำนวนถึง 2,030 แผ่น บัญชีรายชื่อราษฎรตำบลต่าง ๆ ในอำเภอลำปลายมาศ บัญชีรายชื่อหัวคะแนนแต่ละหมู่บ้าน บัญชีรายชื่อแกนนำและบัญชีรายชื่อผู้รับผิดชอบแต่ละตำบลในอำเภอลำปลายมาศ ตารางแสดงจำนวนหมู่บ้าน บัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้ง (ส.ส.13) ของอำเภอเมืองบุรีรัมย์ และข้อมูลหน่วยเลือกตั้งตำบลต่าง ๆในอำเภอลำปลายมาศ รวมอยู่ด้วย แม้จะฟังว่าของกลางเหล่านี้ซุกซ่อนไว้คนละกล่องกับกล่องธนบัตรของกลางก็ตาม แต่ของกลางดังกล่าวล้วนเกี่ยวข้องและสามารถใช้ประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ทั้งสิ้น ทั้งค้นได้ในบริเวณเดียวกันกับบริเวณที่ค้นพบธนบัตรของกลางทุกรายการแล้วเชื่อได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมรู้เห็นในการซุกซ่อนของกลางรายการอื่นตามบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.29 ด้วยข้อนำสืบปฏิเสธของจำเลยทั้งสองที่อ้างทำนองว่า จำเลยทั้งสองไม่รู้ว่าใครเป็นผู้นำเสนอของกลางตามบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.29 ไปซุกซ่อนไว้บริเวณหน้าห้องนอนจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบริเวณเดียวกันกับบริเวณที่ค้นพบธนบัตรของกลางได้นั้นไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ เมื่อนำลักษณะการเย็บธนบัตรของกลางเป็นชุด ๆ โดยใช้ธนบัตรชนิดราคา 100 บาท เย็บติดกับธนบัตรชนิดราคา 20 บาท เหมือนกันทุกชุดมาพิจารณาร่วมกันแถบบันทึกภาพการปราศรัยหาเสียงของนายชัยและนายเนวินผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์จำนวน17 ม้วน บัตรพิมพ์ภาพโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครหมายเลข 4, 5 และ 6 พรรคชาติไทย จำนวน 2,030 แผ่น บัญชีรายชื่อราษฎรตำบลต่าง ๆ ในอำเภอลำปลายมาศ บัญชีรายชื่อหัวคะแนนแต่ละหมู่บ้าน บัญชีรายชื่อแกนนำและบัญชีรายชื่อผู้รับผิดชอบแต่ละตำบลในอำเภอลำปลายมาศ ตารางแสดงจำนวนหมู่บ้าน บัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้ง (ส.ส.13) ของอำเภอเมืองบุรีรัมย์ และข้อมูลหน่วยเลือกตั้งตำบลต่าง ๆ ในอำเภอลำปลายมาศ ประกอบกับขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจค้นและยึดของกลางทั้งหมดได้เป็นระยะเวลาก่อนวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศในวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 เพียง3 วันแล้ว จึงเชื่อได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีธนบัตรของกลางไว้ในครอบครองโดยเจตนาที่จะนำธนบัตรของกลางทั้งหมดจำนวน 11,400,000 บาท ไปแจกจ่ายให้หรือให้แก่บรรดาผู้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์เพื่อจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครที่จำเลยทั้งสองให้การสนับสนุนให้ได้รับการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1ได้แก่หมายเลข 4, 5 และ 6 กับในเขตเลือกตั้งที่ 2 หมายเลข 10ที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า ธนบัตรของกลางจำนวน 11,400,000 บาทจำเลยที่ 1 รวบรวมมาจากลูกหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่นำเงินมาชำระหนี้และรวบรวมมาจากเพื่อนฝูงกับญาติของจำเลยที่ 1 เพื่อนำไปซื้อที่ดินจากนายปรีชา ตั้งศรีเกียรติกุล อาของจำเลยที่ 2โดยจำเลยที่ 1 รับเงินดังกล่าวมาเป็นถึงและจำเลยที่ 1 ยังมิได้เปิดถุงนั้นดูจนกระทั่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจค้นพบและยึดไปเป็นของกลางโดยที่จำเลยที่ 2 ไม่รู้เรื่องมาก่อนนั้น เป็นข้อนำสืบที่ขัดต่อเหตุผล เพราะเงินของกลางมีจำนวนมากถึง11,400,000 บาท การที่จำเลยที่ 1 รับเงินมาจากลูกหนี้เพื่อนฝูง และญาติรวมกันหลายรายโดยไม่ได้เปิดดูหรือตรวจนับเพื่อให้ทราบจำนวนที่แน่นอนเสียก่อน ย่อมเป็นการผิดปกติวิสัยของผู้เป็นเจ้าหนี้หรือผู้รับเงินจำนวนมากจะพึงประพฤติปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนบัตรของกลางเป็นธนบัตรย่อยชนิดราคา 100 บาทและชนิดราคา 20 บาท ทั้งสิ้น ทั้งไม่น่าเชื่อ ลูกหนี้เพื่อนฝูงญาติของจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้นำธนบัตรเหล่านั้นมาชำระหนี้หรือมอบให้แก่จำเลยที่ 1 ในลักษณะที่เหมือนกันโดยพร้อมกัน กล่าวคือเย็บธนบัตรชนิดราคา 100 บาท และชนิดราคา 20 บาท ติดกันเป็นชุด ชุดละ 120 บาท และตรงบริเวณลายน้ำพระบรมฉายาลักษณ์ของธนบัตรชนิดราคา 20 บาท มีตรายางรูปยันต์ประทับไว้ทุกฉบับ ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับที่มาของธนบัตรของกลางและข้ออ้างที่ว่าจำเลยที่ 2 ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับธนบัตรของกลางจึงไม่มีน้ำหนักรับฟัง เมื่อฟังว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีธนบัตรของกลางทั้ง 11,400,000 บาท ไว้ในครอบครองโดยเจตนาที่จะนำธนบัตรเหล่านั้นไปแจกจ่ายหรือให้แก่ผู้เลือกตั้งจริง และเห็นว่า พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ. 2522 มาตรา 35 บัญญัติว่า “เมื่อได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งใดจนถึงวันเลือกตั้ง ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใด กระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจะจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น หรือให้งดเว้นมิให้ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครใดด้วยวิธีการดังนี้ (1) จัดทำ ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด” จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่า ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ว่าในเขตเลือกตั้งใด กฎหมายมุ่งประสงค์ที่จะห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดที่มิใช่ผู้สมัครกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจะจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่นด้วยวิธีการจัดทำ ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด ดังนั้นผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวด้วยการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ว่าด้วยการจัดทำ ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด ย่อมเป็นการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 35(1) สำเร็จ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะที่จำเลยทั้งสองถูกจับและเจ้าพนักงานตำรวจยึดของกลางทั้งหมดได้ จำเลยทั้งสองได้จัดทำธนบัตรของกลางทั้ง 11,400,000 บาท ไว้พร้อมที่จะนำไปแจกจ่ายหรือให้แก่ผู้เลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อในเขตอำเภอลำปลายมาศและอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ แล้วด้วยการนำธนบัตรชนิดราคา 100 บาท กับชนิดราคา 20 บาท ที่มีตรายางรูปยันต์ประทับตราบริเวณลายน้ำพระบรมฉายาลักษณ์มาเย็บติดกันเป็นชุดชุดละ 120 บาท และมัดรวมกัน มัดละ 100 ชุด ใส่ถุงพลาสติกบรรจุในกล่องกระดาษและถุงทะเลไว้พร้อม ดังนั้น โดยลักษณะของการกระทำดังกล่าวถือว่าจำเลยทั้งสองจัดทำธนบัตรของกลางซึ่งเป็นทรัพย์สินเพื่อจะจูงใจให้บรรดาผู้เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1 และเขตเลือกตั้งที่ 2 ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครหมายเลข 4, 5 และ 6 ในเขตเลือกตั้งที่ 1 และหมายเลข 10ในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดบุรีรัมย์แล้ว แม้จำเลยทั้งสองจะยังไม่ได้แจกจ่ายหรือให้ธนบัตรนั้นแก่บรรดาผู้เลือกตั้งทั้งหลายจำเลยทั้งสองก็กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 35(1) สำเร็จแล้ว แต่ปรากฏว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเอาผิดแก่การจัดทำธนบัตรของกลางของจำเลยทั้งสองซึ่งถือว่าเป็นความผิดสำเร็จมาด้วย โจทก์คงบรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองแต่เพียงว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนาพยายามให้ทรัพย์สินแก่ผู้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งที่ 1 และเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดบุรีรัมย์เพื่อจะจูงใจให้บรรดาผู้เลือกตั้งทั้งสองเขตดังกล่าวลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครในเขตเลือกตั้งที่ 1 หมายเลข 4, 5 และ 6กับเขตเลือกตั้งที่ 2 หมายเลข 10 สถานเดียวเท่านั้น เมื่อโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งสองเพียงการพยายามให้ทรัพย์สินแก่ผู้เลือกตั้งสถานเดียว ก็ต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเพียงขั้นตระเตรียมการให้ทรัพย์สินแก่ผู้เลือกตั้งอันไม่เป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 35(1) ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาหรือไม่ และเห็นว่า เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์ขณะที่จำเลยทั้งสองถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับพร้อมของกลาง คงเหลือเวลาอีกเพียง 3 วัน ก็จะถึงกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ นับว่าเป็นระยะเวลาที่ใกล้ชิดกับวันเลือกตั้งมากแล้ว ประกอบกับลักษณะธนบัตรของกลางที่จำเลยทั้งสองจัดทำขึ้นเป็นชุดพร้อมที่จะนำไปแจกจ่ายหรือให้แก่บรรดาผู้เลือกตั้งดังกล่าวได้ตามบัญชีรายชื่อหัวคะแนนแต่ละหมู่บ้าน บัญชีรายชื่อแกนนำบัญชีรายชื่อผู้รับผิดชอบแต่ละตำบลในอำเภอลำปลายมาศ บัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้ง(ส.ส.13) ของอำเภอเมืองบุรีรัมย์ ตารางแสดงจำนวนหมู่บ้านตลอดจนข้อมูลหน่วยเลือกตั้งตำบลต่าง ๆ ในอำเภอลำปลายมาศที่จำเลยทั้งสองรวบรวมไว้แล้วแสดงว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาจะให้ทรัพย์สินเพื่อจะจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัคร และจำเลยทั้งสองก็ได้เตรียมจัดหาทรัพย์สิน คือธนบัตรชนิดราคา 100 บาท และชนิดราคา 20 บาท รวมทั้งของกลางต่าง ๆดังกล่าวแล้วจำเลยทั้งสองได้ลงมือดำเนินการตามเจตนาข้างต้นโดยนำธนบัตรมาเย็บติดกันเป็นชุดมัดรวมกัน มัดละ 100 ชุดบรรจุในกล่องกระดาษและถุงทะเลเสร็จพร้อมที่จะนำไปให้แก่บุคคลผู้เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งได้ทันที่ การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ล่วงไปถึงขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการนำธนบัตรของกลางไปแจกจ่ายหรือให้แก่บรรดาผู้เลือกตั้งเพื่อจะจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครที่จำเลยทั้งสองให้การสนับสนุน เป็นการกระทำที่ใกล้ชิดต่อความผิดสำเร็จที่จะเกิดขึ้น จึงต้องถือว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองพ้นขั้นตระเตรียมการเข้าสู่การลงมือกระทำความผิดแล้ว หากแต่ไม่สำเร็จเพราะเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้เสียก่อน มิฉะนั้นแล้วจำเลยทั้งสองก็จะกระทำความผิดต่อไปได้สำเร็จ การที่จำเลยทั้งสองถูกจับเสียก่อนในขณะที่ลงมือกระทำความผิดแล้วเช่นนี้ ย่อมมีความผิดฐานพยายามให้ทรัพย์สินแก่ผู้เลือกตั้งเพื่อจะจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครดังที่โจทก์ฟ้องแล้ว และธนบัตรของกลางกับของกลางอื่นถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้ริบได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ไม่รอการลงโทษแก่จำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองใช้เงินจำนวนถึง11,400,000 บาท เพื่อจะแจกจ่ายหรือให้แก่บรรดาผู้เลือกตั้งจำนวนมากให้ลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้สมัครที่จำเลยทั้งสองให้การสนับสนุนดังได้วินิจฉัยแล้ว เมื่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มีเจตนารมณ์ที่จะคุ้มครองและป้องกันมิให้มีการใช้เงินเป็นค่าตอบแทนในการลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครคนหนึ่งคนใด จำเลยทั้งสองกลับกระทำการฝ่าฝืนโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายของบ้านเมืองนับได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการบ่อนทำลายการปกครองระบบประชาธิปไตย ทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นไปโดยไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม กระทบกระเทือนต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศ และเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติ ทั้งเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่โครงสร้างของสังคมไทย ตลอดจนระบบบริหารราชการแผ่นดินประกอบกับจำเลยทั้งสองเป็นบุคคลที่มีการศึกษา มีอาชีพและสถานะทางสังคมดี แทนที่จะดำรงตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีของบุคคลในสังคม กลับจงใจกระทำความผิดเสียเอง เช่นนี้ แม้จะเป็นการกระทำเพียงขั้นพยายามกระทำความผิด และเป็นการกระทำความผิดครั้งแรกก็ไม่สมควรรอการลงโทษ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสองนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยทั้งสองและไม่ลงโทษปรับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1