แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีแพ่งที่จำเลยทั้งสองถูก ส. ฟ้องว่าผิดสัญญาขายที่ดินและเรียกค่าเสียหาย ซึ่งโจทก์ถูกเรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยนั้น ศาลได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้โจทก์ (ซึ่งเป็นจำเลยร่วม) ขายที่พิพาทหรือไม่ อันเป็นประเด็นสำคัญชี้ขาดการแพ้ชนะคดีนั้น การที่จำเลยทั้งสองเบิกความอันเป็นเท็จว่าไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ไปจำหน่ายหรือขายที่ดินให้คนอื่นจึงเป็นข้อความสำคัญในคดี
เมื่อจำเลยเบิกความเท็จและข้อความนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี แม้คดีนั้นจะเสร็จเด็ดขาดลงด้วยการประนีประนอมยอมความ และศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็ตาม การกระทำที่เป็นการเบิกความเท็จของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จแล้ว จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนซึ่งต่อไปจะเรียกจำเลยสำนวนแรกว่า จำเลยที่ ๑ จำเลยสำนวนที่ ๒ ว่าจำเลยที่ ๒ เป็นใจความว่าจำเลยทั้งสองได้สาบานตัวแล้วเบิกความต่อศาลจังหวัดภูเก็ตในการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๐/๒๕๑๘ ว่า จำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๐/๒๕๑๘ ทำหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ ให้โจทก์คดีนี้ ซึ่งเป็นจำเลยร่วมในคดีดังกล่าวไปขอออกโฉนดที่ดินอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีข้อความมอบอำนาจอื่น ๆ อีก และทั้งจำเลยทั้งสองไม่เคยมอบอำนาจให้โจทก์คดีนี้ไปจำหน่ายหรือขายที่ดินดังกล่าวให้กับคนอื่นเลย ซึ่งข้อความที่จำเลยทั้งสองเบิกความนี้เป็นความเท็จและจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นความเท็จ ความจริงจำเลยทั้งสองได้ทำหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ ให้โจทก์ไปออกโฉนดที่ดินของจำเลยและมีข้อความอื่นอีกคือให้มีอำนาจจำหน่ายที่ดินจัดสรรที่ดินและแบ่งขายด้วยให้แก่บุคคลอื่นได้ ข้อความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๐/๒๕๑๘ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ ลงโทษจำคุกและลดโทษกับเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง-คนละ ๒ เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยที่ ๑ ถูกนายสว่างฟ้องในข้อหาว่า ผิดสัญญาขายที่ดินเรียกค่าเสียหายตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๐/๒๕๑๘ ของศาลจังหวัดภูเก็ต และศาลได้เรียกโจทก์เป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ ๑ ผลที่สุดคดีดังกล่าว โจทก์ จำเลย และจำเลยร่วมได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลได้พิพากษาตามยอม เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๑๗ เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองในฐานะพยานได้สาบานตัวเบิกความต่อศาลว่า หนังสือมอบอำนาจนอกจากจะมอบอำนาจให้จำเลยร่วม (โจทก์) ไปขอออกโฉนดแล้วไม่มีข้อความอื่นอีกตอนหนึ่งว่า ไม่เคยมอบอำนาจให้จำเลยร่วมไปจำหน่ายหรือขายที่ดินให้คนอื่นเลย คำเบิกความของจำเลยทั้งสองเป็นการเบิกความเท็จ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาไว้และได้มอบอำนาจไว้เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ให้โจทก์ไปขอออกโฉนดจัดสรรแบ่งขาย โดยจำเลยที่ ๒ ลงชื่อเป็นพยาน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของจำเลยทั้งสองดังกล่าว ผลที่สุดคดีนั้น ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จึงถือว่าข้อที่จำเลยเบิกความไม่เป็นข้อสำคัญในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในชั้นชี้สองสถานในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๐/๒๕๑๘ ศาลได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า จำเลยที่ ๑ ได้มอบอำนาจให้โจทก์ (ซึ่งเป็นจำเลยร่วมในคดีแพ่งดังกล่าว) ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ อันเป็นประเด็นสำคัญชี้ขาดการแพ้ชนะในคดีนั้น เนื่องด้วยจำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่ต้องรับผิดในการขายที่ดินพิพาท เพราะไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยร่วมเป็นผู้ดำเนินการขายที่ดินให้แก่โจทก์ ฉะนั้นที่จำเลยทั้งสองเบิกความในข้อที่ว่า ไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยร่วมไปจำหน่ายหรือขายที่ดินให้คนอื่นจึงเป็นข้อความสำคัญในคดี ส่วนที่ว่าผลที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน เห็นว่า คดีดังกล่าวแม้ว่าจะเสร็จเด็ดขาดลงด้วยการประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็ตามแต่การกระทำที่เป็นการเบิกความของจำเลยนั้นเป็นความผิดสำเร็จแล้ว จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗
พิพากษายืน