แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก ต่อมาระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลย และผู้เสียหายสมรสกันโดยบิดามารดาผู้เสียหายอนุญาต ดังนั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคท้าย โดยศาลยกขึ้นเอง ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185,215,225 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 มิได้จำกัดว่าการพรากเด็ก จะต้องกระทำโดยวิธีการอย่างใด แม้เด็กจะมีรูปร่างใหญ่โต แต่อายุไม่เกิน 15 ปี และเด็กเต็มใจไปด้วยก็ตามก็เป็นความผิดและต้องเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควรการที่เด็กอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาและ บิดามารดา โดยบิดามารดามีอำนาจปกครองและมีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตรนั้น เมื่อจำเลยพาเด็กไปถือเป็นการกระทำ โดยปราศจากเหตุอันสมควรเป็นความผิดตามมาตรา 317 วรรคแรก แล้วส่วนการที่จำเลยกับผู้เสียหายรักกันด้วยความสุจริตใจต่างมี เจตนาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา การกระทำของจำเลย ขาดเจตนาเพื่อการอนาจาร จึงไม่เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 317, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก และมาตรา 317 วรรคสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 19 ปี 3 วัน ลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 กระทงละหนึ่งในสาม ฐานกระทำชำเรา จำคุก 3 ปี 4 เดือน ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 7 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 ปี 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 ส่วนโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติได้ว่าตามสูติบัตรเอกสารหมาย จ.1 เด็กหญิงนิตยา พรมดีเกิดวันที่ 9 มกราคม 2526 อายุ 13 ปี 8 เดือน และรับว่ามีจิตใจรักจำเลย เมื่อจำเลยชวนไปอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาจึงตกลงยินยอมและเอาเสื้อผ้าไปอยู่ด้วยกัน นายจันทร์เพ็ญบิดาของเด็กหญิงนิตยาไม่ประสงค์ดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญากับจำเลย ต่อมาในระหว่างพิจารณาคดีของศาลฎีกา ศาลจังหวัดมุกดาหาร มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยและเด็กหญิงนิตยา พรมดี สมรสกันและมีบุตรชาย 1 คน บิดามารดาของเด็กหญิงนิตยายินยอมให้ทำการสมรส ปรากฏตามคำสั่งศาลจังหวัดมุกดาหาร ลงวันที่4 ธันวาคม 2541 และใบสำคัญการสมรสลงวันที่ 8 ธันวาคม 2541คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลชั้นต้นลงโทษทุกกรรม ซึ่งประมวลกฎหมายอาญามีบทบัญญัติความผิดเกี่ยวกับเพศ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษจำเลยตามมาตรา 277 วรรคแรกนั้น มาตรา 277 วรรคท้าย บัญญัติว่า “ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในวรรคแรก ถ้าเป็นการกระทำที่ชายกระทำกับเด็กหญิงอายุกว่าสิบสามปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กหญิงนั้นยินยอมและภายหลังศาลอนุญาตให้ชายและหญิงนั้นสมรสกันผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษถ้าศาลอนุญาตให้สมรสในระหว่างที่ผู้กระทำผิดกำลังรับโทษในความผิดนั้นอยู่ ให้ศาลปล่อยผู้กระทำความผิดนั้นไป” ที่โจทก์ฟ้องอ้างมาตราในกฎหมายขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 277 นั้นเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยชี้ขาดพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 277 วรรคแรก จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษตามที่มาตรา 277 วรรคท้าย ได้บัญญัติไว้ ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 บัญญัติว่า”ถ้าศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิดก็ดี การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดก็ดี คดีขาดอายุความแล้วก็ดี มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษก็ดี ให้ศาลยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป”จำเลยแก้ฎีกาว่า มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษในมาตรา 277 วรรคแรก ศาลฎีกาจึงต้องยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามมาตรา 277 วรรคแรก
คดีมีปัญหาวินิจฉัยความผิดต่อเสรีภาพและชื่อเสียง ซึ่งความผิดต่อเสรีภาพตามมาตรา 317 ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยนั้นเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ ตามมาตรา 317 วรรคแรกที่บัญญัติว่า”ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษจำคุก”และวรรคสาม บัญญัติว่า “ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจารผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุก”ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า พราก หมายความว่า แยกออกจากกัน อนาจารหมายความว่า ความประพฤติชั่ว ความประพฤติน่าอับอาย ความประพฤตินอกรีตนอกแบบทำให้เป็นที่อับอาย เป็นที่น่ารังเกียจแก่ผู้อื่นในด้านความดีงาม นั้น เห็นว่า ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียงที่จะวินิจฉัยชี้ขาดการกระทำของจำเลยว่า จำเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์ กฎหมายให้ศาลใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง และบัญญัติว่าอย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้นความมุ่งหมายของมาตรา 317 เพื่อเอาโทษแก่ผู้ที่พรากเด็กแม้เด็กเต็มใจไปด้วย การพรากเด็กไปเสียจากบิดามารดาไปตามความในมาตรานี้มิได้จำกัดไว้ว่าพรากไปโดยวิธีการอย่างใดถ้าเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีแล้วย่อมเป็นความผิดแม้เด็กจะมีรูปร่างใหญ่โต มีความรู้สึกผิดชอบเกินกว่าปกติก็ตาม การพรากก็มิได้จำกัดว่าพรากไปเพื่อประสงค์ใดหรือประโยชน์อย่างใด เพียงแต่มีเจตนาพรากเด็กไปเสียจากบิดามารดาก็เป็นความผิดแล้วกรณีของจำเลยจึงเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ถ้าจำเลยพรากเด็กไปโดยมีเหตุอันสมควรแล้วก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้ กรณีจะถือว่ามีเหตุอันสมควรหรือไม่นั้นข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า ผู้เสียหายกำลังศึกษาเล่าเรียนยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา การที่จำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาขณะที่บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์และมีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตรอันเป็นสิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์การกระทำของจำเลยจึงปราศจากเหตุอันสมควรจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรกแต่ข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหาฟังได้ว่าจำเลยกับผู้เสียหายรักกันด้วยความสุจริตใจต่างมีเจตนาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาและศาลมีคำสั่งอนุญาตให้สมรสและมีบุตรด้วยกันการกระทำของจำเลยขาดเจตนากระทำเพื่อการอนาจาร จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสามคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 นั้นไม่ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคแรก จำเลยอายุกว่าสิบเจ็ดปี แต่ยังไม่เกินยี่สิบปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 2 ปี จำเลยเข้ามอบตัวและรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวน ตลอดจนชั้นพิจารณาคดีของศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเมื่อคำนึงถึงอายุ สติปัญญา ประกอบกับจำเลยถูกคุมขังมาบ้างแล้ว ภาวะแห่งจิตที่มีบุตร 1 คน อันควรปรานีสมควรรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก