คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1257/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่พยานโจทก์คนที่สองนั่งฟังพยานโจทก์คนแรกเบิกความในห้องพิจารณาคดีนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา114 วรรคสอง ให้เป็นดุลพินิจของศาลที่จะรับฟังคำเบิกความของพยานโจทก์คนที่สองได้หากเห็นว่า คำเบิกความนั้นเป็นที่เชื่อฟังได้หรือมิได้เปลี่ยนแปลงโดยได้ฟังคำเบิกความของพยานคนก่อนหรือไม่สามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดเปลี่ยนแปลงไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30, 82 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82 ให้จำคุก 6 ปี จำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายแล้ว และข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุกจำเลย 3 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ส่วนที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าพยานโจทก์คนที่สองนั่งฟังพยานโจทก์คนแรกเบิกความในห้องพิจารณาคดีเป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความ นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 114 วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เป็นดุลพินิจของศาลที่จะรับฟังคำเบิกความเช่นว่านั้นได้ หากศาลเห็นว่า คำเบิกความเช่นว่านั้นเป็นที่เชื่อฟังได้ หรือมิได้เปลี่ยนแปลงโดยได้ฟังคำเบิกความของพยานคนก่อนหรือไม่สามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดเปลี่ยนแปลงไปได้ การที่ศาลใช้ดุลพินิจในการรับฟังคำเบิกความดังกล่าวจึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share