คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1255/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อำนาจออกพระราชกฤษฎีกาจนเป็นการขัดหรือฝ่าฝืนต่อกฎหมายทั่วๆ ไปของบ้านเมืองนั้น จักต้องมีการระบุมอบอำนาจไว้โดยชัดแจ้งในตัว พ.ร.บ.มิฉะนั้นพระราชกฤษฎีกาที่ออกมาเป็นการขัดหรือฝ่าฝืนกฎหมายทั่วไปของบ้านเมืองนั้น ก็จะบังคับใช้ไม่ได้
ข้อความในพระราชกฤษฎีกาควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ พ.ศ. 2492 (ฉะบับที่ 2) มาตรา 3 ซึ่งให้ยกเลิกมาตรา 6 ในพระราชกฤษฎีกาฉะบับที่ 1 และใช้ความต่อไปนี้แทนว่า “มาตรา 6 ในการควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินตามความในพระราชกฤษฎีกานี้ให้คณะกรรมการรักษาเงินที่ได้จากการนั้น ไว้และในระหว่างที่ยังมิได้มีความตกลงของสหประชาชาติในเรื่องนี้ห้ามมิให้จ่ายเงินดังกล่าวแล้ว เว้นแต่ค่าใช้จ่ายดังบัญญัติไว้ในมาตรา 5” นั้น ถ้าจะแปลจนถึงว่าให้คณะกรรมการมีอำนาจงดการชำระหนี้อันถึงกำหนด แก่เจ้าหนี้ตลอดถึงไม่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาและทรัพย์สินของลูกหนี้ ไม่ต้องอยู่ในการบังคับชำระหนี้ของเจ้าหนี้แล้ว ก็จะเป็นอำนาจที่มิใช่อำนาจในหลักเกณฑ์และวิธีการควบคุมและจัดทรัพย์สิน เพราะเป็นอำนาจที่คณะกรรมการจะต้องกระทำการฝ่าฝืนขืนขัดต่อกฎหมายทั่วไปของบ้านเมือง โดยมิได้มี พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทำการเช่นนั้น หรือให้อำนาจที่จะให้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเช่นนั้นได้ ฉะนั้นศาลจึงมีอำนาจดำเนินการบังคับคดีแก่คณะกรรมการฯ ผู้เป็นจำเลยให้ชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลได้

ย่อยาว

คดีนี้เดิมจำเลยได้เข้าควบคุมจัดกิจการและทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัดบริษัทฮัมบูร์กไทยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกักคุมตัวและการควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๔๘๘ ห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวได้ทำสัญญาเช่าตึกของโจทก์ไป บัดนี้จำเลยไม่ยอมชำระเงินค่าสินไหมทดแทนในการที่ทรัพย์ที่ติดตรึงตรากับตัวตึกที่เช่าต้องเสียหายไปให้แก่โจทก์ตามสัญญาเช่า โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับคดีถึงที่สุด ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๖๓๗๕ บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นสั่งบังคับคดีใน ๑๕ วัน ศาลออกคำบังคับแล้วจำเลยแถลงต่อศาลขอวางศาลแต่ฉะเพาะค่าธรรมเนียม ค่าทนายแทนโจทก์เป็นเงิน ๕๖๒ บาท ส่วนค่าเสียหาย ๖๓๗๕ บาทนั้น จำเลยเห็นว่าจำเลยอยู่ในฐานะเป็นผู้ควบคุมทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ ทรัพย์สินของจำเลยมีแต่ทรัพย์สินที่ควบคุมไว้เท่านั้น พระราชกฤษฎีกาควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ (ฉะบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๒ มาตรา ๓ ได้บัญญัติห้ามมิให้จำเลยจ่ายเงินที่ได้จากทรัพย์สินที่ควบคุมไว้ เว้นแต่ค่าใช้จ่ายค่าเสียหายนี้มิใช่ค่าใช้จ่าย จำเลยจึงจะปฏิบัติตามคำบังคับคดีของศาลไม่ได้
โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อการชำระหนี้ศาลแพ่งสั่งว่ายึดไม่ได้ เพราะจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชกฤษฎีกาดังที่จำเลยแถลง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยได้เข้าควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทฮัมบูร์กไทย ฉะนั้นค่าเสียหายรายนี้จึงคิดจากทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้นได้ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชกฤษฎีกาตามที่ศาลล่างอ้างไม่ได้ห้ามเด็ดขาด เมื่อกรณีต้องตามมาตรา ๕ แล้วจ่ายได้ จึงพิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นว่าให้ดำเนินการบังคับคดีเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ต่อไป
ศาลฎีกาประชุมใหญ่แล้วเห็นว่าอำนาจแห่งการเข้าควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาตินั้นเกิดขึ้นโดย พ.ร.บ. ว่าด้วยการกักคุมตัวและการควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งมีบทบัญญัติให้อำนาจไว้ในมาตรา ๖ ซึ่งให้อำนาจคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง มีอำนาจควบคุมจัดกิจการตามวิธีการและหลักเกณฑ์ ซึ่งกำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาอำนาจควบคุมจัดกิจการตามที่กฎหมายให้ไว้นี้ ก็คือการเข้าจัดการงานแทนบุคคลนั้นนั่นเอง ซึ่งรวมตลอดถึงการหยุดกิจการ ชำระบัญชีและการขอให้บุคคลนั้น ๆ เป็นผู้ล้มละลาย ดั่งปรากฎหลักเกณฑ์และวิธีการเป็นรายละเอียดอยู่ในพระราชกฤษฎีกาฉะบับที่ ๑ แล้ว ฉะนั้นถ้าจะมีการออกพระราชกฤษฎีกาให้นอกเหนือไปจากนั้นพระราชกฤษฎีกานั้นก็จะบังคับใช้มิได้ เพราะการให้อำนาจออกพระราชกฤษฎีกาจนเป็นการขัดหรือฝ่าฝืนต่อกฎหมายทั่วไปของบ้านเมืองนั้นจักต้องมีการระบุ มอบอำนาจไว้โดยชัดแจ้งในตัว พ.ร.บ.ฉะนั้นถ้าจะแปลความดังที่จำเลยยืนยันไปจนถึงว่าให้คณะกรรมการมีอำนาจงดการชำระหนี้อันถึงกำหนดแก่เจ้าหนี้ตลอดถึงไม่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาและทรัพย์สินของลูกหนี้ ไม่ต้องอยู่ในการบังคับชำระหนี้ของเจ้าหนี้แล้ว ก็จะเห็นได้ชัดว่า อำนาจนี้มิใช่อำนาจในหลักเกณฑ์และวิธีการควบคุมและจัดทรัพย์สินเพราะเป็นอำนาจที่คณะกรรมการจะต้องกระทำการฝ่าฝืนขืนขัดต่อกฎหมายทั่วไปของบ้านเมืองโดยมิได้มี พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทำการเช่นนั้น หรือให้อำนาจที่จะให้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเช่นนั้นได้
จึงเห็นว่าข้อโต้แย้งของจำเลยฟังไม่ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว จึงพิพากษายืน

Share