คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1253/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้ใช้เหมืองพิพาทเป็นทางน้ำชักน้ำจากนาแปลงใต้ผ่านมาจำเลยเข้ามาแปลงเหนือ เพื่อประโยชน์แก่นาแปลงเหนือของโจทก์มาเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว เช่นนี้จำเลยจะปิดกั้นเสียไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปิดคันคูเหมืองน้ำพิพาทซึ่งโจทก์ใช้เป็นทางน้ำมากว่า ๓๐ ปีแล้ว และทำลายรางน้ำและคันคูเหมืองน้ำพิพาท เป็นเหตุให้ข้าวในนาของโจทก์เสียหายขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยเปิดทางเหมืองน้ำพิพาท ใส่ไม้รางน้ำ และถมดิน ทำคันคูเหมืองน้ำตามสภาพเดิม
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า มีลำส่งน้ำเล็ก ๆ ในที่นาจำเลย แต่มิใช่ทางน้ำจำเป็นที่จะเดินเข้าในนาโจทก์ทางเดียว นาโจทก์อาศัยน้ำได้จากหลายทาง จำเลยขอให้โจทก์เลิกใช้เหมืองนี้ เพราะโจทก์ขุดให้กว้างและลึกลงทุกปี ทำให้จำเลยเสียหายจำเลยไม่ได้ปิดทางน้ำดังที่โจทก์บรรยายในฟ้อง โจทก์ไม่เสียหาย โจทก์ไม่เคยอ้างกรรมสิทธิ์เหนือเหมืองพิพาท จำเลยและเจ้าของนาเดิมครอบครองติดต่อกันมาเกิน ๑๐ ปีแล้ว กรรมสิทธิจึงตกเป็นของจำเลย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่แน่ว่าอ้างกรรมสิทธิ์หรือภารจำยอม ขอให้ศาลบังคับโจทก์เลิกเกี่ยวข้องกับรางน้ำในที่ดินของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ศาลไม่ควรรับฟ้องแย้ง เพราะไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ และเป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์มิได้ขุดลำเหมืองพิพาทให้กว้างและลึก ทางน้ำซึ่งจำเลยจะให้เปลี่ยนใหม่ ไม่ใช่ความประสงค์ของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า เหมืองพิพาทเป็นภารจำยอม ให้จำเลยเปิดทางเหมืองหรือลำรางพิพาท ให้โจทก์ละเว้นการกระทำใด ๆ ในลำรางหรือลำเหมืองพิพาท ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายแก่นาของจำเลย
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า มีเหมืองพิพาทผ่านนาจำเลยจากใต้ไปเหนือจนสุดที่จำเลยเป็นลักษณะสมข้ออ้างของโจทก์ว่าเป็นลำเหมืองชักน้ำเข้านาโจทก์ โจทก์ได้ใช้เหมืองพิพาทเป็นทางน้ำชักน้ำจากนาแปลงใต้เข้ามาแปลงเหนือของโจทก์มาเป็นเวลากว่า ๓๐ ปีแล้วเช่นนี้ จำเลยจะปิดกั้นไม่ได้
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย.

Share