คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1334/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ผ้าที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดจะอยู่ในร้านขายผ้าซึ่งตามใบทะเบียนพาณิชย์มีชื่อผู้ร้องเป็นผู้ประกอบกิจการจำหน่ายผ้าก็ตามแต่พยานของผู้ร้องเจือสมข้อนำสืบของฝ่ายโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ประกอบกิจการและเป็นผู้สั่งสินค้าผ้ามาจำหน่าย ผ้าดังกล่าวจึงเป็นของจำเลย ผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิขอให้ถอนการยึด.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้เงินค่าสินค้าระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยึดสินค้าผ้าของจำเลยไว้ชั่วคราว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผ้าที่โจทก์นำยึดไม่ใช่ของจำเลย เป็นของผู้ร้อง ขอให้ถอนการยึด
โจทก์ให้การว่า ผ้าดังกล่าวเป็นของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถอนการยึด คืนทรัพย์ที่ยึดแก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองได้ประกอบกิจการเปิดร้านค้าผ้าใช้ชื่อว่า ร้านยินดีชัย อยู่ที่บ้านเลขที่ 110 ถนนราชดำเนิน ได้สั่งซื้อสินค้าผ้าจากโจทก์มาจำหน่ายและค้างชำระราคา ต่อมาร้านยินดีชัยถูกไฟไหม้ โจทก์จึงได้ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันชำระค่าผ้าที่ค้าง และยื่นคำขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยชั่วคราวก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยึดสินค้าผ้าของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2526 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดผ้าตัดกางเกง 81 ม้วนราคา 48,000 บาท ผ้าตัดเสื้อ 530 ม้วน ราคา 78,000 บาท ในอาคารเลขที่ 157 ถนนราชดำเนินที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องประกอบอาชีพค้าผ้ามาก่อนมิได้เกี่ยวข้องช่วยเหลือหรือเป็นลูกจ้างของจำเลยทั้งสอง กิจการค้าผ้าในอาคารเลขที่157 ถนนราชดำเนิน และผ้าในร้านที่ถูกยึดเป็นของผู้ร้อง นั้น ผู้ร้องเบิกความว่า ผู้ร้องได้ประกอบอาชีพค้าผ้ามาก่อนโดยขายผ้าอยู่ที่ร้านแผงลอยในตลาดเทศบาลมา 5-6 ปีแล้ว ต่อมาจึงได้มาเปิดร้านอยู่ที่อาคารเลขที่ 157 ถนนราชดำเนิน แต่ตามคำเบิกความของนายสะตาลีราห์มูฮัลซึ่งได้เปิดร้านขายผ้าอยู่ติดกับร้านยินดีชัยของจำเลยทั้งสองก่อนถูกไฟไหม้และนายเล้ง กิตติสุทธิวงศ์ ซึ่งเป็นตัวแทนขายผ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีนครค้าผ้าและได้ติดต่อขายผ้าให้แก่จำเลยทั้งสองต่างเบิกความว่า รู้จักกับผู้ร้องและจำเลยทั้งสองมาก่อน จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของร้านยินดีชัย ผู้ร้องเป็นญาติของจำเลย เคยเห็นผู้ร้องอยู่ในร้านยินดีชัย พยานของผู้ร้องเจือสมข้อนำสืบของโจทก์ว่าผู้ร้องเป็นน้องของจำเลยที่ 1 อยู่ที่ร้านยินดีชัยช่วยขายผ้าอยู่หน้าร้านยินดีชัยของจำเลยทั้งสอง เมื่อร้านยินดีชัยถูกไฟไหม้ จำเลยทั้งสองเปิดร้านขายผ้าชั่วคราวอยู่ที่เพิ่งตรงที่ร้านถูกไฟไหม้ตามภาพถ่ายหมาย ร.ภ.1 หลังจากถูกไฟไหม้จำเลยทั้งสองได้ประกอบกิจการค้าผ้าต่อมาเชื่อว่าผู้ร้องได้ไปช่วยขายผ้าอยู่หน้าร้านยินดีชัยร้านของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพี่สาวของผู้ร้องมาก่อนที่ร้านยินดีชัยถูกไฟไหม้ผู้ร้องว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2525 ผู้ร้องได้ทำสัญญาเช่าอาคารเลขที่ 157 ถนนราชดำเนินจากนายทิศ ตันศรีตรัง เพื่อใช้เป็นที่ประกอบกิจการค้าตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ร.9 และวันที่ 9 มิถุนายน 2525ได้จดทะเบียนพาณิชย์ทำการจำหน่ายผ้าทุกชนิดชื่อร้านสำรวย สำนักงานอยู่เลขที่ 157 ถนนราชดำเนินตามเอกสารหมาย ร.1 เดิมผู้ร้องอยู่กรุงเทพมหานคร เมื่อเดือนมิถุนายน 2525 ได้ย้ายภูมิลำเนาเข้าไปอยู่ในบ้านเลขที่ 129/35 ถนนกันตัง หากผู้ร้องได้ทำสัญญาเช่าอาคารเลขที่157 ถนนราชดำเนิน เปิดเป็นร้านจำหน่ายผ้าทุกชนิด และได้ขอจดทะเบียนพาณิชย์สำนักงานตั้งอยู่ในอาคารดังกล่าว เหตุใดในเดือนมิถุนายน 2525ผู้ร้องย้ายภูมิลำเนาเข้าไปอยู่ในบ้านเลขที่ 129/35 ถนนกันตังไม่ย้ายเข้าอยู่ในอาคารเลขที่ 157 ถนนราชดำเนินทั้ง ๆ ที่ในร้านมีสินค้าผ้าอยู่จำนวนมาก และตามคำเบิกความของนายเล้งพยานผู้ร้องว่าหลังจากร้านยินดีชัยถูกไฟไหม้นายเล้งได้จัดส่งผ้าให้ร้านยินดีชัยตามที่จำเลยสั่งซื้อโดยจัดส่งทางบริษัทผู้ร้บขนส่งและตามใบรับสินค้าเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.5 โดยบริษัทศรีเซ่งแกขนส่ง จำกัด และบริษัทสหโรจน์ขนส่ง จำกัด ผู้รับขนส่งสินค้าได้จัดส่งผ้าให้จำเลยที่ 2หรือร้านยินดีชัย โจทก์ว่าจำเลยทั้งสองได้ย้ายไปประกอบกิจการค้าผ้าอยู่ที่อาคารเลขที่ 157 ถนนราชดำเนิน ผู้ร้องมิได้นำสืบให้เห็นว่าร้านยินดีชัยได้ประกอบกิจการค้าผ้าต่อมาหลังจากถูกไฟไหม้ได้ไปเปิดดำเนินกิจการอยู่ที่ใด แม้อาคารเลขที่ 157 ถนนราชดำเนิน ผู้ร้องเป็นผู้ทำสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย ร.9 และตามใบทะเบียนพาณิชย์เอกสารหมายร.1 ผู้ร้องเป็นผู้ประกอบกิจการจำหน่ายผ้าก็ตาม แต่พยานของผู้ร้องเจือสมข้อนำสืบของฝ่ายโจทก์ เชื่อว่าจำเลยทั้งสองได้ประกอบกิจการค้าผ้าใช้ชื่อร้านยินดีชัยต่อมาและได้ย้ายมาประกอบกิจการอยู่ในอาคารเลขที่ 157 ถนนราชดำเนิน สินค้าผ้าที่โจทก์นำยึดเป็นสินค้าผ้าที่จำเลยทั้งสองได้สั่งมาจำหน่าย เป็นของจำเลยทั้งสองศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,500 บาทแทนโจทก์.

Share