แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยตกลงกันขอให้ศาลไปดูสภาพของที่พิพาท แล้วให้ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดแบ่งที่พิพาทว่าจะเป็นของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ตามแต่ศาลจะเห็นสมควร โดยไม่ต้องคำนึงถึงคำพยานที่สืบมาแล้วและจะยอมรับคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าวของศาลเป็นยุติข้อตกลงเช่นนี้เป็นเรื่องสืบพยานธรรมดา โดยอ้างวัตถุพยานคือ ที่พิพาทเป็นพยานร่วมนั่นเอง ข้อตกลงดังกล่าวนี้ก็สมบูรณ์ตามกฎหมายเพราะเป็นคดีส่วนแพ่ง เป็นเรื่องที่คู่ความจะตกลงกันเช่นนี้ได้ เพราะไม่มีกฎหมายห้าม ตามที่ตกลงกันไว้นั้นเท่ากับเป็นการที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ถือเอาคำขอและคำต่อสู้คดีในรูปเดิม แต่ขอให้ศาลไปตรวจที่พิพาทแล้วพิพากษาชี้ขาดได้ตลอดจนได้ยอมให้ศาลแบ่งที่ดินรายพิพาทได้ด้วย คือ จะแบ่งเท่ากันหรือไม่เท่ากัน หรือให้แก่ฝ่ายใดทั้งหมดก็ได้ แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร เมื่อศาลได้ไปตรวจสภาพของที่พิพาทตามข้อตกลง ไม่พบแนวเขตที่จะถือเป็นหลักในการแบ่ง ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้แบ่งที่พิพาทให้แก่โจทก์จำเลยคนละครึ่งได้
ย่อยาว
คดีนี้ ข้อหาทางอาญาโจทก์ขอถอนฟ้อง จำเลยไม่ค้านศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนอาญาไปแล้ว คงเหลือข้อหาในส่วนแพ่ง ซึ่งคู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงกันให้ศาลไปดูสภาพของที่พิพาทแล้ว ให้ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดแบ่งที่พิพาทที่จะแบ่งเป็นของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่หมดหรือแต่บางส่วน ตามแต่ศาลจะเห็นสมควร โดยไม่ต้องคำนึงถึงคำพยานที่สืบมาแล้ว และจะยอมรับคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าวของศาลเป็นยุติ
ศาลชั้นต้นไปตรวจสภาพของที่พิพาทตามข้อตกลง ได้พบเห็นในที่พิพาทมีแต่กอไผ่ ต้นโสน กับบ่อปลา 1 บ่อ นอกจากนี้ก็ไม่มีพืชพันธ์อะไร ทั้งไม่มีแนวเขตที่จะถือเป็นหลักในการแบ่งหรือที่จะวินิจฉัยให้ตกเป็นของฝ่ายใดทั้งหมดโดยเฉพาะได้ ประกอบกับเห็นว่าที่พิพาทเป็นที่อยู่นอกโฉนดของทั้งสองฝ่าย แต่ทั้งสองฝ่ายก็แย่งการครอบครองกันอยู่ จึงพิพากษาให้ แบ่งที่พิพาทออกเป็น 2 ส่วนเท่ากัน โดยให้ที่ดินพิพาทในส่วนที่แบ่งติดต่อกับเขตที่ดินเดิมที่มีโฉนดเป็นของแต่ละฝ่าย คือ ที่ดินซีกทางเหนือเป็นของจำเลยซีกทางใต้เป็นของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลเอาที่พิพาทไปแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่งไม่ชอบเพราะเกินคำฟ้องและคำขอ ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 เพราะการที่คู่ความตกลงให้ศาลไปตรวจดูที่พิพาทนั้นไม่ใช่ให้ศาลไปแบ่งที่พิพาท เมื่อตามสภาพของที่ดินไม่รู้ว่าเป็นของฝ่ายใด ก็ชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เสีย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า กรณีไม่เข้าลักษณะประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 การที่ศาลตรวจดูสภาพของที่พิพาทก็เท่ากับโจทก์จำเลยอ้างสภาพที่พิพาทเป็นพยานเมื่อที่พิพาทไม่มีแนวเขตการครอบครองของใครอย่างไร ก็ชอบที่จะดำเนินการพิจารณาฟังคำพยานโจทก์จำเลยต่อไป จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกาว่า กรณีเป็นการประนีประนอมยอมความกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 เพราะทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันให้ศาลดูที่พิพาทอย่างเดียวแล้ววินิจฉัยชี้ขาด คู่ความจะยอมรับคำวินิจฉัยของศาลเป็นยุติคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่คู่ความตกลงกันเช่นนั้นเป็นเรื่องสืบพยานธรรมดาโดยอ้างวัตถุพยาน คือ ที่พิพาทเป็นพยานร่วมนั่นเอง ข้อตกลงดังกล่าวนี้ก็สมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะเป็นคดีส่วนแพ่ง เป็นเรื่องที่คู่ความจะตกลงกันเช่นนี้ได้ เพราะไม่มีกฎหมายห้าม ตามที่ตกลงกันไว้นั้นเท่ากับเป็นการที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ถือเอาคำขอและคำต่อสู้คดีในรูปเดิม แต่ขอให้ศาลไปตรวจที่พิพาทแล้วพิพากษาชี้ขาดได้ตลอดจนยอมให้ศาลแบ่งที่ดินรายพิพาทได้ด้วย คือ จะแบ่งเท่ากันหรือไม่เท่ากัน หรือให้แก่ฝ่ายใดทั้งหมด ก็ได้ แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร เมื่อศาลชั้นต้นได้ไปตรวจสภาพของที่พิพาทตามข้อตกลง ได้พบเห็นในที่พิพาทมีแต่กอไผ่ ต้นโสน กับบ่อปลา 1 บ่อ นอกจากนี้ก็ไม่มีพืชพันธุ์อะไร ทั้งไม่มีแนวเขตที่จะถือเป็นหลักในการแบ่งหรือที่จะวินิจฉัยให้ตกเป็นของฝ่ายใดทั้งหมดโดยเฉพาะได้ ประกอบกับเห็นว่าที่พิพาทเป็นที่อยู่นอกเขตโฉนดของทั้งสองฝ่าย แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังแย่งการครอบครองกันอยู่ จึงได้วินิจฉัยชี้ขาดแบ่งที่พิพาทออกเป็น 2 ส่วนเท่ากัน เป็นไปตามที่คู่ความเสนอศาลตามประเด็นข้อพิพาทแล้ว
ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น