แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยขวนขวายจะให้ได้ คำรับรองเพื่อฎีกา เป็นการรับอยู่ในตัวว่าจำเลยเห็นด้วยกับศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลย เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย กรณีจึงไม่เข้าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 ซึ่งให้ร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
เมื่อไม่ต้องด้วยบทบัญญัติให้ร้องตรงมายังศาลฎีกา อีกทั้งยังไม่มีการรับฎีกาอันจะถือได้ว่า คดีได้ขึ้นสู่ศาลฎีกาแล้ว หากจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยก็มีแต่ทางจะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 20/2503)
ย่อยาว
คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้คนตายและบาดเจ็บสาหัส พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา๒๕๒และ ๒๕๙ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๕๒ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก ๔ ปี ผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๔๗๓ มาตรา ๓๓ ปรับ ๑๐๐ บาท ผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๖๖ พระราชบัญญัติจราจร พ.ศ. ๒๔๘๑ มาตรา ๔ ปรับ ๑๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะข้อที่ศาลชั้นต้นปรับจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจร โดยให้ยกเสีย นอกนั้นให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา พร้อมทั้งยื่นคำร้อง ขอให้คณะฯผู้พิพากษาศาลเดิมหรือศาลอุทธรณ์รับรองและอนุญาตให้จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา โดยอ้างว่า เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้าม และมีคำสั่งคำร้องของจำเลยว่าไม่ใช่ปัญหาข้อสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด จึงไม่รับรองให้
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนให้ผู้พิพากษา ศาลชั้นต้นอีกนายหนึ่งลงนามในคำพิพากษาพิจารณาคำร้องของจำเลยและถ้าผู้พิพากษานั้นไม่รับรองฎีกา ขอให้ส่งสำนวนไปให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งลงนามในคำพิพากษาตรวจคำร้องและฎีกาจำเลย
ศาลชั้นต้นฟังว่า ศาลไม่มีหน้าที่จะต้องส่งฎีกาของจำเลยไปให้ใคร ๆ รับรอง ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลเดิมหรือผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รับรองหรืออนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และร้องขอให้ส่งสำนวนไปให้ผู้พิพากษาตรวจรับรองนั้น เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นฎีกา แม้จำเลยจะยื่นต่อศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นสั่งรับหรือไม่รับฎีกาของจำเลยก็เพราะกฎหมายให้ศาลชั้นต้นปฏิบัติในเรื่องนี้ เพื่อให้การพิจารณาชั้นฎีกาดำเนินไปตามลำดับเท่านั้น คำร้องของจำเลยในการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นฎีกานี้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งหรือปฏิบัติการไปอย่างใด ย่อมอยู่ในอำนาจของศาลฎีกา ว่า เป็นการชอบหรือไม่ด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาอย่างใด หากจำเลยไม่เห็นฟ้องด้วยกับการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ก็ชอบที่จะร้องต่อศาลฎีกาโดยตรง ไม่ใช่กรณีที่จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษายกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยฎีกาว่า จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยชวนขวายจะให้ได้ คำรับรองเพื่อฎีกา เป็นการรับอยู่ในตัวว่าจำเลยเห็นด้วยกับศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลย เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย จึงไม่ใช่เรื่องที่จำเลยเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ หากแต่จำเลยขวนขวายหาทางเพื่อให้ฎีกาได้ต่างหาก กรณีจึงไม่เข้าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๔ ซึ่งให้ร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
เมื่อไม่ต้องด้วยบทบัญญัติให้ร้องตรงมายังศาลฎีกา อีกทั้งยังไม่มีการรับฎีกาอันจะถือได้ว่า คดีได้ขึ้นสู่ศาลฎีกาแล้ว ซึ่งกรณีดังว่า นี้ คู่ความอาจร้องบางเรื่องตรงต่อศาลฎีกา ได้ในฐานะที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา เช่นนี้ หากจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยก็มีแต่ทางจะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ อันเป็นวิธีการปกติคือ ดำเนินคดีมาโดยลำดับศาล ที่ศาลอุทธรณ์ว่า ไม่ใช่กรณีที่จำเลยจะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ แต่ชอบที่จะร้องต่อศาลฎีกาโดยตรงนั้นที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะรับอุทธรณ์นี้ไว้พิจารณา แต่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นด้วยกับศาลชั้นต้นว่า เป็นเรื่องที่จำเลยควรจะไปร้องต่อผู้พิพากษาที่จะขอให้รับรองโดยตรง ไม่ใช่เรื่องจะมาขอให้ศาลจัดการให้ หรือไม่ เห็นด้วยกับศาลชั้นต้น แต่เห็นเป็นประการอื่น ก็ชอบที่จะพิพากษาหรือสั่งไป แต่จะไม่รับอุทธรณ์เสียเลยนั้น หาถูกต้องไม่
พิพากษาให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยแล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งไปตามกระบวนความ