คำสั่งคำร้องที่ 1407/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาตามกฎหมาย จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เป็นการวินิจฉัยไปในทางที่เป็นโทษแก่จำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227วรรคสอง มิใช่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ดังนั้น ฎีกาของจำเลยจึงมิต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218โปรดมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลชั้นต้นและให้รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 152)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์มีมูล จึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 จำคุก 1 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษปรับด้วยเป็นเงิน 1,000 บาทแต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ฯลฯ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 147)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 148)

คำสั่ง
ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อมีความสงสัย ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยว่านางเนื่องยกที่พิพาทให้จำเลย ไม่ใช่อาศัยทำกิน คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการวินิจฉัยในทางที่เป็นโทษแก่จำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองฎีกาของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นฎีกาดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในคดีเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ยกคำร้อง

Share