แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าของโจทก์ ศาลชั้นต้นฟังว่าห้องเช่าเป็นเคหะ จึงพิพากษายกฟ้องแต่ศาล อุทธรณ์ฟังว่า ไม่ใช่เคหะ จึงพิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย ่จำเลยฎีกาเพียงว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์เฉพาะใน ขจ้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์กลับมาวินิจฉัยข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์กลับมาวินิจฉัยข้อเท็จจริง ไม่ชอบด้วยป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 238 ส่วนข้อที่ว่าห้องเช่าไม่ใช่เคหะนั้น จำเลยมิได้คัดค้านในฎีกามา ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าที่จำเลยฎีกา ขึ้นมาฟังไม่ขึ้นแล้ว ก็ไม่ต้องวินิจฉัยเรื่องเคหะต่อไป./
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า โดยอ้างว่าจำเลยเช่าทำเป็นโรงแรมหมดอายุสัญญา และโจทก์บอกเลิกสัญญา แล้ว จำเลยขัดขืนไม่ยอมออก.
จำเลยต่อสู้ว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะ
ศาลชั้นต้นฟังว่า ห้องเช่าเป็นเคหะ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยใช้ห้องพิพาททำโรงแรม จึงไม่ใช่เคหะ พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลย.
จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริง ไม่ชอบด้วย วิ.แพ่งมาตรา ๒๓๘.
ศาลฎีกาเห็นว่า เฉพาะคดีเรื่องนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต่างกับศาลชั้นต้นเพียงข้อเดียวว่า ห้องรายพิพาทอยู่ในทำเล การค้า หรือยู่ห่างชุมนุมใหญ่ ประมาณ ๑๐ เส้นเท่านั้น แต่ความข้อนี้ก็ไม่ใช่สาระสำคัญแห่งการชี้ขาดคดีของศาลอุทธรณ์ นอกจากความข้อนี้ คงฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้น ที่จำเลยว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงฝ่าฝืน ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา ๒๓๘ จึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนข้อชี้ขาดของศาลอุทธรณ์ที่ว่า ห้องรายพิพาทไม่ใช่เคหะที่อยู่อาศัย จำเลยมิได้คัดค้านในฎีกา จึงไม่ต้องวินิจฉัย.
คงพิพากษายืน.