แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเช่าเลขที่ 1 และ 1/1 จำเลยให้การต่อสู้ว่าบ้านเลขที่ 1/1 เป็นของจำเลย.ดังนี้ ถ้าโจทก์ไม่ประสงค์ดำเนินคดีในประเด็นข้อนี้โจทก์ก็อาจยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องได้ก่อนวันชี้สองสถาน แต่โจทก์ก็หาทำไม่ การที่โจทก์แถลงในวันชี้สองสถานว่าโจทก์ยอมยกกรรมสิทธิ์ในอู่รถยนต์ (บ้านเลขที่ 1/1)ให้จำเลย จะถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เพิ่งมีขึ้นโดยโจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถานหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องภายหลังการชี้สองสถาน ศาลก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้องของโจทก์ เมื่อไม่อนุญาตให้โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้อง ก็ต้องถือตามฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องว่า บ้านเลขที่ 1/1 ใช้เป็นอู่ซ่อมรถยนต์เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยเช่าจากโจทก์ ขอให้ขับไล่.จำเลยให้การว่าบ้านเลขที่ 1/1 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยในวันชี้สองสถานโจทก์แถลงยกกรรมสิทธิ์ให้จำเลย จึงเท่ากับโจทก์สละสิทธิที่จะดำเนินคดีกับจำเลยในประเด็นข้อนี้.ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามคำให้การของจำเลยว่าบ้านเลขที่1/1 เป็นของจำเลย โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากบ้านของจำเลยเองไม่ได้
ตามคำฟ้อง คำให้การของจำเลยไม่มีฝ่ายใดหยิบยกขึ้นกล่าวอ้างว่าที่ดินที่ปลูกบ้านเลขที่ 1/1 เป็นส่วนหนึ่งของการเช่าบ้านเลขที่ 1 จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องแปลสัญญาเช่าว่าจำเลยเช่าที่ดินตรงที่ปลูกบ้านเลขที่ 1/1ด้วยหรือไม่
การที่ศาลวินิจฉัยตามสภาพที่ปรากฏในขณะที่ศาลไปเผชิญสืบตรวจดูที่พิพาทจึงเป็นการวินิจฉัยตามหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๓๖๙๕ มีเรือนไม้๒ ชั้น ๑ หลัง และอู่ซ่อมรถยนต์ ๑ หลัง ปลูกอยู่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ บ้านและอู่นี้ทางเทศบาลให้เลขบ้านร่วมกันเป็นเลขที่ ๑เท่านั้น นายอู๋พี่ชายจำเลยเป็นผู้เช่าจากโจทก์ทำการค้า นายอู๋ถึงแก่กรรม จำเลยทำสัญญาต่อไป ต่อมาเทศบาลให้เลขบ้านสำหรับอู่เป็นเลขที่ ๑/๑ เป็นอันว่าทรัพย์ที่เช่าคือบ้านเลขที่ ๑ และ ๑/๑ครบกำหนดโจทก์จำเลยทำสัญญาเช่ากันใหม่ บัดนี้ ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วโจทก์บอกเลิก จำเลยไม่ยอมออก
ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านเลขที่ ๑และ ๑/๑ กับให้ใช้ค่าเสียหาย ฯลฯ
จำเลยให้การว่า เช่าเฉพาะบ้านเลขที่ ๑ ไม่รวมอู่ซ่อมรถยนต์มิใช่เพื่อประกอบการค้า อู่ซ่อมรถยนต์เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านเลขที่ ๑และ ๑/๑ ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นคำร้องแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องลงวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๐๖ นั้นไม่ชอบ เพราะโจทก์ยื่นคำร้องภายหลังการชี้สองสถาน
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยให้การต่อสู้คดีว่า บ้านเลขที่ ๑/๑ เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โดยจำเลยปลูกสร้างขึ้นเอง ไม่ได้เช่าจากโจทก์ถ้าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยในประเด็นข้อนี้ โจทก์ก็อาจจะยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องได้ก่อนวันชี้สองสถาน เพราะเป็นการตกลงใจของโจทก์ฝ่ายเดียว หาได้เกี่ยวข้องกับจำเลยแต่อย่างใด แต่โจทก์ก็หาทำไม่ การที่โจทกืเพิ่งมาแถลงว่าเพื่อตัดปัญหาในการโต้เถียงกรรมสิทธิ์ในอู่รถยนต์นี้ โจทก์ยอมยกกรรมสิทธิ์ในอู่รถยนต์ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยในวันชี้สองสถานนั้น จะถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เพิ่งมีขึ้นโดยโจทก์ไม่อาจจะยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถานหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องภายหลังการชี้สองสถาน และคดีไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนด้วยแล้ว ศาลก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๐ ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
เมื่อไม่อนุญาตให้โจทก์ยื่นคำร้องแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องฉบับนี้แล้วก็ต้องถือตามฟ้องเดิมซึ่งในประเด็นข้อนี้โจทก์ฟ้องว่าบ้านเลขที่ ๑/๑ ที่ใช้เป็นอู่ซ่อมรถยนต์เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์จำเลยเช่าจากโจทก์ ขอให้ขับไล่ จำเลยให้การว่าบ้านเลขที่ ๑/๑เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ในวันชี้สองสถานโจทก์แถลงยกกรรมสิทธิ์ให้จำเลย จึงเท่ากับโจทก์สละสิทธิที่จะดำเนินคดีกับจำเลยในประเด็นข้อนี้ ฉะนั้น ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามคำให้การของจำเลยว่า บ้านเลขที่ ๑/๑ เป็นของจำเลยโจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกไปจากบ้านของจำเลยเองไม่ได้
จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แปลสัญญาเช่าหมาย จ.๒ไม่ถูกต้องเพราะในสัญญาเช่าปรากฏว่าจำเลยทำสัญญาเช่าบ้านเลขที่ ๑เท่านั้นไม่มีข้อความว่าจำเลยเช่าที่ดินตอนที่ปลูกสร้างอู่ซ่อมรถยนต์ (บ้านเลขที่ ๑/๑) ด้วย ในประเด็นข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำฟ้องก็ดี คำให้การสู้คดีของจำเลยก็ดี ไม่มีฝ่ายใดหยิบยกขึ้นมากล่าวอ้างว่าที่ดินที่ปลูกบ้านเลขที่ ๑/๑ นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการเช่าบ้านเลขที่ ๑ เลย ฉะนั้น จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องแปลสัญญาเช่าว่าจำเลยได้เช่าที่ดินตรงที่ปลูกบ้านเลขที่ ๑/๑ ด้วยหรือไม่ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้
นอกจากนี้ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเช่าบ้านเลขที่ ๑ ก็เพื่อประกอบการค้าที่จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยใช้ลานบ้านอันได้ดัดแปลงเทพื้นคอนกรีตไว้เป็นส่วนใหญ่อันเป็นที่ซ่อมแซมและจอดรถนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ปรากฏในท้องสำนวน เพราะไม่มีข้อความตอนใดในสำนวนว่า จำเลยเป็นผู้ดัดแปลงเทพื้นคอนกรีตนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยตามสภาพที่ปรากฏในขณะที่ศาลได้เผชิญสืบตรวจดูที่พิพาท จึงเป็นการวินิจฉัยตามหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนนั่นเอง หาใช่นอกเหนือจากสำนวนดังที่จำเลยฎีกาขึ้นมาไม่
พิพากษาแก้เป็นให้ยกคำขอที่ให้ขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ ๑/๑ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะไปฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินของโจทก์ใหม่