แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่ 2โจทก์ทั้งสองต่างฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิด ทำให้รถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้นั้นเสียหายโดยโจทก์ที่ 1 ได้เสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถให้แก่โจทก์ที่ 2 ตามสัญญาประกันภัยแล้วรับช่วงสิทธิของโจทก์ที่ 2 มาฟ้อง และโจทก์ที่ 2 ฟ้องเรียกร้องค่าที่สินค้าซึ่งบรรทุกมาในรถคันดังกล่าวเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ทั้งสองจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ เช่นนี้ แม้คดีสำหรับโจทก์ที่ 1 จะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคแรกแต่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยไปแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1 ไม่ได้รับช่วงสิทธิใด ๆ ไปจากโจทก์ที่ 2 เลยโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลย อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน สมควรยกขึ้นวินิจฉัยไปถึงคดีในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 1ตาม มาตรา 142(5) ด้วย จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องใจความว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อซึ่งโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้ครอบครอง ในประเภทรับผิดชดใช้ความเสียหายโดยสิ้นเชิง จำเลยเป็นนิติบุคคลประกอบธุรกิจรับจ้างบรรทุกขนส่งรถยนต์ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยแพขนานยนต์ลูกจ้างโจทก์ที่ ๒ นำรถยนต์ของโจทก์ที่ ๒ ดังกล่าวบรรทุกข้าวโพดเม็ด ๒๐๐ กระสอบ ลงแพขนานยนต์ของจำเลย เมื่อรถยนต์ขึ้นจากแพขนานยนต์ ล้อหน้าอยู่บนท่า ล้อหลังยังอยู่ในแพขนานยนต์ ลวดสลิงสำหรับยึดตัวแพกับหลักที่ท่าหลุดแพเลื่อนออก รถยนต์ตกลงไปในน้ำทั้งคัน อันเป็นความประมาทของลูกจ้างจำเลยที่มิได้ผูกลวดสลิงให้แข็งแรงรถยนต์เสียหาย โจทก์ที่ ๑ ผู้รับประกันภัยเสียค่าใช้จ่ายรวม ๑๘,๓๐๗ โจทก์ที่ ๒ เสียหายรวม๗๑,๕๐๐ บาท ขอให้จำเลยใช้เงิน
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ผู้เสียหาย จำเลยมิได้กระทำละเมิด การที่รถยนต์ตกลงในแม่น้ำ เป็นความประมาทของผู้ขับรถยนต์เอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๑๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์ที่ ๑ และให้ชำระเงิน ๒๖,๕๐๐ บาทแก่โจทก์ที่ ๒
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า รถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่ ๒ ตกแม่น้ำเพราะไม่มีกำลังพอเนื่องจากบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัดไปมาก ไม่ใช่เพราะความผิดของฝ่ายจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด
วินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า แม้คดีสำหรับโจทก์ที่ ๑ จะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๔ วรรคแรก แต่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยไปแล้วคดีนี้ปรากฏว่าโจทก์ที่ ๑ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยฟ้องจำเลยเรียกให้ชำระหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดโดยรับช่วงสิทธิจากโจทก์ที่ ๒ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ ๒โจทก์ที่ ๑ ไม่ได้รับช่วงสิทธิใด ๆ ไปจากโจทก์ที่ ๒ เลย จึงไม่มีอำนาจฟ้องไล่เบี้ยเอาจากจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่ออำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยไปถึงคดีในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒(๕)ด้วยฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๖๐๐ บาทแทนจำเลย