แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
(1) องค์การสรรพาหาร เป็น+ ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ ไม่ว่าเป็นเอกสารประเภทใด
กรณีที่จำเลยมิใช่แต่เพียงเป็นสื่อกลางให้เอาทำสัญญากัน หากแต่จำเลยยังรับสินค้าไปจำหน่ายและชำระเงินค่าสินค้าให้ตัวการโดยจำเลยได้รับบำเหน็จเป็นผลประโยชน์ และจำเลยยังมีอำนาจครอบครองสินค้าแล้วส่งมอบแก่ผู้ซื้อเรียกและรับเงินค่าสินค้า ทั้งหนังสือยังระบุว่าหนังสือสัญญารับเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า อนึ่งการจัดหาระวางเรือโดยจำเลยตกลงกับผู้รับขนแทน โดยองค์การสรรพาหาร เสียค่าระวางเองนั้น ย่อมเป็นการที่จำเลยทำในฐานเป็นตัวแทน มิใช่เป็นนายหน้า ส่วนการที่จำเลยรับสินค้าไป แม้จะมีผู้ควบคุมโดยต้อตกลงราคานั้น ผู้ควบคุมก่อนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำตามคำสั่งขององค์การ (ตัวการ)
การส่งสินค้า เมื่อมีข้อผูกพันอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามข้อตกลง แม้บริษัทจำเลยจะมีวัตถุประสงค์ทำกิจการเช่นนั้นหรือไม่ก็ตาม เมื่อจำเลยรับสินค้าไป+แล้ว หักเอาบำเหน็จออกจากเงินที่ขายสินค้าไว้แล้ว ก็ต้องคืนเงินค่าสินค้าที่รับไป จำเลยจะยกเรื่องวัตถุประสงค์ของบริษัทมาสู้เพื่อไม่ต้องเสียค่าสินค้าให้เขาหาได้ไม่
อนึ่ง เป็นการมิชอบในการที่จะอ้างว่าองค์การ+ขึ้นไม่ชอบ ให้เงินมาไม่ชอบ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องคืนเงินที่ตนรับไปในฐานตัวแทนให้แก่ตัวการตามกฎหมาย
เมื่อองค์การสรรพหารเป็นราชการในสังกัดสำนักคณะรัฐมนตรี โจทก์ ๆ ก็มีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์สินที่ยังตกอยู่แก่จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนได้
ถึงแม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องว่าจำเลยละเมิดสัญญาตัวแทน คือไม่ปฏิบัติตามสัญญา แต่โจทก์มิได้เรียกค่าเสียหายเนื่องจากตัวแทนทำให้เกิดขึ้นแก่ตัวการ หากแต่เรียกเอาเงินที่จำเลยหักไว้เกินคืน คือ เรียกเอาทรัพย์ของตนซึ่งอยู่ที่จำเลยนั่นเองคืน นั้น คดีมีอายุความ 10 ปี
ถึงแม้เอกสารที่โจทก์อ้างท้ายฟ้องปรากฎว่าจำเลยมิได้เป็นผู้รับสินค้าและการส่งสินค้าออกก็ทำในนามขององค์การสรรพหาร โจทก์ก็ย่อมนำสืบถึงหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนตามสัญญาได้ มิใช่เป็นการสืบแก้ไขเอกสาร
การที่บริษัทขนส่งยอมรับสินค้าของจำเลยที่ 1 บรรทุกเพิ่มเติมลงไปอีก ก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยที่ 1 กับบริษัทรับขน ส่วนองค์การสรรพาหารมิใช่ผู้รับขน จะเรียกเอาค่าระวางจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ ถึงแม้องค์การสรรพาหาร จะเถียงว่าเป็นผู้เหมาลำเป็นเจ้าของระวาง คนอื่นไม่มีสิทธิบรรทุกก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะมิได้มีสัญญารับขนกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นเรื่องที่บริษัทรับขนจะต้องรับผิดต่อองค์การสรรพาหารเอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า คณะรัฐมนตรีลงมติจัดตั้งองค์การสรรพาหารขึ้น โดยใช้สำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งบัดนี้เป็นสำนักคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบ จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้จัดการ จำเลยที่ ๒ ในนามและเป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากับนายทองเปล่า ชลภูมิ ในนามและเป็นผู้แทนองค์การสรรพาหาร เจ้าหน้าที่ของโจทก์ โดยจำเลยทำสัญญา+เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าขององค์การสรรพาหาร สำนักคณะรัฐมนตรี ในตลาดต่างประเทศ
จำเลยได้รับแป้งข้าวเจ้าและแป้งข้าวเหนียว เส้นหมี่ ของโจทก์และส่งไปยังต่างประเทศแล้ว เมื่อจำเลยได้ขายสินค้าขององค์การสรรพาหารแล้วต้องส่งเงินต่าขายทั้งหมดแก่องค์การสรรพาหาร ก่อนหักบำเหน็จและรายจ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่จำเลยผิดสัญญาโดยส่งเงินค่าขายเพียงจำนวนที่เหลือจากที่จำเลยหักไว้เป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และค่าบำเหน็จก่อน ค่าใช้จ่ายบางรายการก็เกินสมควร ไม่เป็นความจริง และไม่มีหลักฐาน การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดข้อสัญญา และผิดหน้าที่ที่ตัวแทน แต่โจทก์ขอให้จำเลยคืนเงินเฉพาะ + รายการ
จำเลยมีหน้าที่ส่งเงินค่าขายสินค้าเหล่านี้ให้แก่โจทก์ใช้ครบราคาตามจำนวนน้ำหนักที่จำเลยได้รับมอบไป แต่จำเลยได้ส่งขาดจำนวนน้ำหนัก + รายการ
ต่อมาคณะรัฐมนตรีลงมติให้+ องค์การสรรพาหาร ตั้งกรรมการชำระบัญชี และสะสางการงานและทรัพย์สิน ปรากฎว่าจำเลยหักเงินค่าใช้จ่ายและค่าบำเหน็จไว้ โดยไม่มีอำนาจ ไม่จำเป็นและเป็นการเกินสมควร และยังส่งเงินค่าขายให้ไม่ครบ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยคืนเงินรวม + บาท จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ใช้พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยให้การต่อสู้หลายประการ
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินแก่โจทก์รวม ๑๑๑,+++ บาท ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกากล่าวว่า คดีคงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเท่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รับผิดใช้เงินให้โจทก์ ๓ รายการ จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดเลย พร้อมทั้งยกปัญหาข้อตัดฟ้องต่าง ๆ ขึ้นได้เถียงในชั้นนี้อีกด้วย เว้นแต่เรื่องฟ้องเคลือบคลุม
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยข้อตัดฟ้อง ของจำเลยที่ ๑ ตามลำดับดังนี้
(๑) จำเลยฎีกาว่า สัญญาตัวแทนเป็นใบมอบอำนาจที่ต้องปิดอากรแสตมป์ ศาลฎีกาเห็นว่า องค์การสรรพาหารเป็นราชการไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ไม่ว่าเป็นเอกสารประเภทใด
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามเอกสาร จ.๓ จำเลยมิใช่แต่เพียงสื่อกลางชักจูงทั้งสองฝ่ายได้เข้าทำสัญญากัน แต่รับสินค้าขององค์การสรรพาหารไปจำหน่ายแล้วชำระเงินค่าสินค้าคืนให้ตัวการ โดยได้รับบำเหน็จเป็นผลประโยชน์ร้อยละ + ตามสัญญา จำเลยมีอำนาจครอบครองสินค้าขององค์การส่งมอบแก่ผู้ซื้อ เรียกและรับเงินราคา ทั้งนี้ เป็นการทำแทนโดยอำนาจของสัญญามาย จ.+ ทั้งเอกสารนี้ก็ระบุว่า หนังสือสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า จำเลยจะส่งเถียงว่าเป็นนายหน้าไม่ต้องรับผิดชอบในสินค้าที่ได้รับไปหาได้ไม่
การจัดหาระวางเรือจำเลยเป็นฝ่ายตกลงกับผู้รับของแทนองค์การสรรพาหาร โดยองค์การสรรพาหารเสียค่าระวางเอง นี่ก็เป็นการทำในฐานะเป็นตัวแทน มิใช่เพียงเป็นนายหน้า เพราะจำเลยชำระหนี้แก่ผู้ขนส่งแล้ว จึงคิดเอาแก่องค์การ การขายสินค้าที่รับไป แม้จะมีผู้ควบคุมโดยต้องตกลงราคากับผู้ควบคุมขององค์การก่อน ก็เป็นเรื่องที่ตัวแทนต้องทำตามคำสั่งขององค์การ โดยต้องขายในราคาที่กำหนดเท่านั้น แต่จำเลยต้องทำการจำหน่ายสินค้าแทนองค์การตามสัญญา คือ รับมอบสินค้าที่นำส่งถึงเรือ จำเลยต้องชำระราคาล่วงหน้าครึ่งหนึ่งเมื่อตกลงขายแล้วจำเลยต้องส่งมอบสินค้า เรียกและรับเงินราคามาส่งให้องค์การสรรพาหารซึ่งเป็นตัวการ มิใช่เพียงแต่นำผู้ซื้อมาตกลงราคาแล้วเป็นเสร็จธุระก็หาไม่
(๒) ศาลฎีกาวิเคราะห์หนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับของบริษัทจำเลยแล้ว ตามข้อ +(๑+) บริษัทจำเลยรับทำการรับสั่งและส่งสินค้าต่างประเทศ คำว่า “รับสั่งและส่งสินค้าต่างประเทศ” ชัดแจ้งอยู่แล้วว่า สั่งสินค้าเข้ามาให้ผู้อื่น หรือส่งสินค้าของผู้อื่นออกไป การรับส่งสินค้าของผู้อื่นออกไปก็เป็นการทำแทนเขานั่นเอง ฉะนั้น ในการส่งสินค้า เมื่อมีข้อผูกพันอย่างไร ก็ต้องเป็นไปตามข้อตกลง จะบอกว่ารับส่งออกอยู่ในวัตถุประสงค์ ข้อตกลงอย่างอื่นอยู่นอกวัตถุประสงค์ฟังไม่ขึ้น จำเลยที่ ๑ จึงต้องผูกพันตามสัญญาหมาย จ.๑ ซึ่งผู้แทนของตนได้กระทำต่อองค์การสรรพาหาร ถึงแม้ว่าบริษัทจำเลยมีวัตถุประสงค์จะทำกิจการเช่นว่านี้หรือไม่ก็ตาม แต่จำเลยรับเอาสินค้าของโจทก์ไปแล้ว จำเลยหักเอาบำเหน็จจากเงินค่าขายสินค้าไว้แล้ว จำเลยก็ต้องคืนค่าสินค้าที่รับไป จำเลยจะยกเรื่องวัตถุประสงค์ของบริษัทมาต่อสู้เพื่อไม่คืนค่าสินค้าให้เขาไม่ได้ จำเลยจะอ้างว่าตัวการ คือ องค์การสรรพาหารตั้งขึ้นไม่ชอบ ได้เงินมาไม่ชอบ ก็ไม่ใช่เรื่องของจำเลยที่จะยกมาต่อสุ้ เพราะถึงจะชอบหรือไม่ชอบ จำเลยก็ต้องคืนเงินค่าของที่ตนรับไปในฐานะตัวแทนให้แก่ตัวการตามกฎหมาย เมื่อองค์การสรรพาหารเป็นราชการในสังกัดของโจทก์ ๆ ก็มีอำนาจฟ้องเรียกเอาทรัพย์สินของตนที่ยังตกอยู่แก่จำเลยผู้เป็นตัวแทนได้
(๓) ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้มีอายุความ ๑๐ ปี เพราะเป็นเรื่องที่ตัวการเรียกเอาทรัพย์สินของตนจากตัวแทน คดีนี้ โจทก์มิใช่เรียกเอาค่าเสียหายเพราะตัวแทนทำให้เกิดความเสียหายแก่ตัวการ แต่เป็นการเรียกเอาทรัพย์ที่มอบให้ตัวแทนไปจำหน่าย และเรียกเอาเงินที่หักไว้เกินไป คือ เรียกเอาทรัพย์ของโจทก์ซึ่งอยู่ที่จำเลยนั่นเอง ฟ้องของโจทก์อ้างว่าจำเลยละเมิดสัญญาตัวแทน คือ ไม่ปฏิบัติตามสัญญา จึงไม่ใช่+ในทางละเมิด คดีโจทก์หาขาดอายุความไม่
จำเลยต่อสู้ข้อกฎหมายว่า เอกสารนี้ โจทก์ยกขึ้นอ้างเป็นหลักแห่งข้อหาตามสำเนาท้ายฟ้อง คือ หนังสือแถลงการณ์ฝากขาย และใน+สินค้าขาออก จำเลยมิได้เป็นผู้รับสินค้าขององค์การสรรพาหาร การส่งออกกระทำในนามขององค์การสรรพาหาร โจทก์จะนำสืบว่าจำเลยเป็นผู้รับและจำหน่ายสินค้าไม่ได้ นั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ย่อมนำสืบได้ว่า โจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญานี้แล้ว แม้ไม่ขนสินค้าขาออก หนังสือแถลงการณ์ฝากขายมิได้ลงชื่อจำเลยเป็นผู้รับหรือเป็นผู้ส่งก็ไม่สำคัญ เพราะมีหนังสือสัญญาหมาย จ.๓ ระบุหน้าที่ของคู่สัญญาไว้แล้วว่า องค์การสรรพาหารเป็นผู้จัดทำใบอนุญาตและเสียภาษีเอง จึงลงชื่อองค์การสรรพาหารเป็นผู้ส่ง แต่ตามสัญญาจำเลยต้องตรวจรับสินค้าเมื่อส่งถึงเรือ หน้าที่ของจำเลยซึ่งเป็นตัวแทนในการรับสินค้าเริ่มตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป ดังนั้น โจทก์ย่อมนำสืบถึงหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนตามสัญญาได้ หาใช่เป็นการสืบแก้ไขเอกสารดังจำเลยฎีกาไม่
ส่วนข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้รับสินค้าไปตามฟ้องหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาข้อ ๕ จำเลยมีหน้าที่ต้องตรวจสินค้ารวมทั้งน้ำหนักด้วย เมื่อจำเลยรับสินค้าไปแล้ว ก็ต้องถือว่ามีน้ำหนักตามใบส่งสินค้า จำเลยจะเถียงว่าน้ำหนักที่ส่งไปไม่ถึงตามฟ้องไม่ได้ เพราะน้ำหนักตามใบส่งสินค้ารวมแล้วมีจำนวนตามฟ้อง
จำเลยสู้คดีไว้ว่า การชั่งน้ำหนักสำหรับประเทศไทยกับฮ่องกงและสิงค์โปร์ต่างกัน ข้อที่จำเลยนำสืบได้ว่า ประเพณีการขายสินค้า+หนึ่งของสิงค์โปร์และฮ่องกงเท่า ๖+.๔๘ กิโลกรัม ส่วนประเทศไทยอีก ๖๐ กิโลกรัมถ้วน ที่โจทก์เรียกร้องให้ใช้ราคาสินค้าขาดน้ำหนักมิได้หักน้ำหนักที่ชั่งต่างกันออกเสียก่อน ต้องคิดเพิ่มให้รายละ ๕๔๐ กรัมทุก+ที่ขาย เมื่อหักน้ำหนังชั่งที่ต่างกันออกแล้ว สินค้าแห้งคงขาดเพียง ๑๑๑.๑๕๖ หาบ เงิน + บาท เส้นหมี่ คงขาด ๗๔.๙๑๐ หาบ เงิน ๒๑,+++ บาท รวมค่าสินค้าที่ขาดน้ำหนักที่จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดชดใช้ราคาให้โจทก์เป็นเงิน ๗๕,๑๕๕.๖๖ บาท
ส่วนค่าสินค้าที่จำเลยหักเป็นค่าใช้จ่ายเอาไว้โดยไม่ถูกต้องนั้น คงมีปัญหาเฉพาะที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิด ๒ จำนวนคือ
๑. ค่าระวางเรือเที่ยวที่ ๔ ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าระวางที่รับคืนมาให้โจทก์ถูกต้องแล้ว
๒. ค่าระวางเรือเที่ยวที่ ๑ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่บริษัทขนส่งยอมรับสินค้าของจำเลยที่ ๑ บรรทุกเพิ่มเติมลงไปอีก เป็นเรื่องระหว่างจำเลยที่ ๑ กับบริษัทรับขน องค์การสรรพาหารมิใช่ผู้ทำการรับขน จะเรียกเอาค่าระวางสินค้าจากจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ หากจะเถียงว่าองค์การสรรพาหารเหมาลำเป็นเจ้าของระวางอยู่แล้วคนอื่นไม่มีสิทธิบรรทุกสินค้าอีกได้ ข้อนี้เป็นเรื่องที่บริษัทขนส่งจะต้องรับผิดกับองค์การในเรื่องไม่ปฏิบัติตามสัญญารับขนส่งเหมาลำ องค์การสรรพาหารมิได้มีสัญญารับขน+ จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าระวางได้ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าระวางสินค้าของจำเลยที่ ๑ ให้โจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ต้องตัดเงินจำนวนนี้ออก
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้ค่าสินค้าขาดน้ำหนักเงิน + บาท กับค่าระวางเรือเที่ยวที่ ๔ เงิน๑๕,+ บาท ฯลฯ