คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12488/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543 โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาให้สิทธิและดูแลบำรุงรักษาศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทางรวม 250 หลังที่ทำกับจำเลยเป็นผลให้บรรดาวัสดุก่อสร้างและสิ่งก่อสร้างที่ดำเนินการแล้ว รวมทั้งป้ายโฆษณาที่ติดตั้งไว้ที่ศาลาที่พักผู้โดยสารดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลย โจทก์จึงเป็นเจ้าของป้ายทั้งหมดนับแต่วันดังกล่าว เมื่อจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของป้ายพิพาทในปี 2544 จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีป้ายในปีภาษี 2544 แม้จำเลยจะยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีต่อสำนักงานเขตก็ไม่ทำให้จำเลยซึ่งไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีป้ายกลับกลายเป็นต้องเสียภาษีขึ้นมา การที่เจ้าพนักงานของโจทก์ทำการประเมินให้จำเลยเสียภาษีป้ายสำหรับปีภาษี 2544 จึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยจะไม่ได้อุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน แต่การอุทธรณ์การประเมินตาม พ.ร.บ. ภาษีป้ายฯ มาตรา 30 นั้น ใช้บังคับเฉพาะผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายที่เห็นว่าการประเมินไม่ถูกต้อง เมื่อจำเลยไม่ใช่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายก็ไม่มีเหตุที่จำเลยจะอุทธรณ์การประเมิน ดังนั้น จำเลยจึงมีสิทธิให้การต่อสู้ได้ว่าการประเมินของเจ้าพนักงานของโจทก์เป็นการไม่ชอบ และเมื่อการประเมินของเจ้าพนักงานโจทก์ไม่ชอบดังวินิจฉัยมาแล้วโจทก์ก็ไม่สามารถบังคับให้จำเลยชำระภาษีป้ายให้แก่โจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าภาษีป้ายพร้อมเงินเพิ่มคิดถึงวันฟ้อง จำนวน 179,814 บาท พร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของภาษีป้ายจำนวน 140,300 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้สิทธิในการดูแลและบำรุงรักษาศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทางรวมถึงป้ายโฆษณาตามสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2541 ต่อมาวันที่ 12 ธันวาคม 2543 โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญา และตามสัญญาระบุไว้ว่าวัสดุก่อสร้างและสิ่งก่อสร้างที่จำเลยดำเนินการไปแล้วให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ป้ายโฆษณาตามฟ้องจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2544 โจทก์ได้ทำสัญญากับบริษัทเจซีเดอโก (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทเจซีเดอโก (ประเทศไทย) จำกัด ได้เข้าหาผลประโยชน์ในป้ายซึ่งติดอยู่ที่ศาลาที่พักผู้โดยสารแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องชำระภาษีป้ายตามฟ้อง เมื่อจำเลยมิใช่ผู้ครอบครองและหาผลประโยชน์ในป้ายตามฟ้องจึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะอุทธรณ์การประเมิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าภาษีป้ายและเงินเพิ่มจำนวน 179,814 บาท ให้จำเลยชำระเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินค่าภาษีป้ายจำนวน 140,300 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติว่า โจทก์ได้ทำสัญญาให้สิทธิและดูแลบำรุงรักษาศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทางเขตพื้นที่กลุ่มบูรพาและเจ้าพระยาจำนวน 250 หลัง แก่จำเลย ตามสัญญาเลขที่ 24/2541 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2541 ตามเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 35 ถึง 44 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543 โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาดังกล่าวแก่จำเลยตามหนังสือเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 32 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2544 และ 30 มีนาคม 2544 จำเลยได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป.1) ประจำปี 2544 ที่เขตสวนหลวงและเขตบางกะปิตามแบบแสดงรายการภาษีป้าย เอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 8 ถึง 11 พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ประเมินภาษีป้ายและแจ้งการประเมินให้จำเลยทราบเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2544 และ 24 คิดเป็นภาษีป้ายที่สำนักงานเขตสวนหลวงจำนวน 11,500 บาท ภาษีป้ายที่สำนักงานเขตบางกะปิจำนวน 128,800 บาท ปรากฏตามหนังสือแจ้งการประเมินและไปรษณีย์ตอบรับเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 13 ถึง 16 จำเลยมิได้โต้แย้งการประเมินหรือขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2544 โจทก์ได้ทำสัญญาให้สิทธิและดูแลบำรุงรักษาศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 250 หลัง แก่บริษัทเจซีเดอโก (ประเทศไทย) จำกัด ตามสัญญาเอกสารหมาย ล.4 บริษัทเจซีเดอโก (ประเทศไทย) จำกัด ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป.1) ประจำปี 2544 ที่สำนักงานเขตสวนหลวงเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ตามแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป.1) เอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 7 พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ประเมินและแจ้งการประเมินไปยังบริษัทเจซีเดอโก (ประเทศไทย) จำกัด แล้ว บริษัทเจซีเดอโก (ประเทศไทย) จำกัด ได้ชำระค่าภาษีป้ายที่สำนักงานเขตสวนหลวงแล้วจำนวน 9,641 บาท ตามสำเนาใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 9 บริษัทเจซีเดอโก (ประเทศไทย) จำกัด ยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป.1) ประจำปี 2544 ที่สำนักงานเขตบางกะปิ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2544 ตามแบบแสดงรายการภาษีป้าย (ภ.ป.1) เอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 11 ถึง 15 พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ประเมินภาษีป้ายจำนวน 2 งวด และแจ้งการประเมินไปยังบริษัทเจซีเดอโก (ประเทศไทย) จำกัด แล้ว บริษัทเจซีเดอโก (ประเทศไทย) จำกัดได้ชำระค่าภาษีป้ายตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ประเมินแล้วจำนวน 70,862 บาท ตามสำเนาใบเสร็จรับเงิน เอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 17 คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระค่าภาษีป้ายตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด พระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ.2510 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ให้เจ้าของป้ายมีหน้าที่เสียภาษีป้ายโดยเสียเป็นรายปี ยกเว้นป้ายที่เริ่มติดตั้งหรือแสดงในปีแรกให้เสียภาษีป้ายตั้งแต่วันที่เริ่มติดตั้งหรือแสดงจนถึงวันสิ้นปีและให้คิดภาษีป้ายเป็นรายงวด งวดละสามเดือนของปี โดยเริ่มเสียภาษีป้ายตั้งแต่งวดที่ติดตั้งป้ายจนถึงงวดสุดท้ายของปีทั้งนี้ตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งต้องไม่เกินอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีป้ายท้ายพระราชบัญญัตินี้”
มาตรา 12 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ให้เจ้าของป้ายซึ่งจะต้องเสียภาษีป้ายยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายตามแบบและวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดภายในเดือนมีนาคมของปี”
มาตรา 17 บัญญัติว่า “ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินภาษีป้ายตามหลักเกณฑ์การคำนวณภาษีป้ายที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีป้าย (6) และ (7) ท้ายพระราชบัญญัตินี้ และตามอัตราภาษีป้ายที่กำหนดในกฎกระทรวงแล้วแจ้งการประเมินเป็นหนังสือไปยังเจ้าของป้าย”
มาตรา 30 วรรคหนึ่งและวรรคสอง บัญญัติว่า “ผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายที่ได้รับแจ้งการประเมินภาษีป้ายแล้วเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูกต้อง มีสิทธิอุทธรณ์การประเมินต่อผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้ซึ่งผู้บริหารท้องถิ่นมอบหมายได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน
การอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ให้ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด”
มาตรา 33 บัญญัติว่า “ผู้อุทธรณ์มีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้ซึ่งผู้บริหารท้องถิ่นมอบหมายโดยฟ้องเป็นคดีต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์เว้นแต่ในกรณีที่เป็นการยกอุทธรณ์ตามมาตรา 31 วรรคสอง
การฟ้องคดีตามวรรคหนึ่งจะกระทำได้ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามขั้นตอนดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 30 แล้ว”
บทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่า ผู้ที่เป็นเจ้าของป้ายมีหน้าที่ต้องเสียภาษีป้ายเป็นรายปีตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยผู้เป็นเจ้าของป้ายต้องยื่นแบบแสดงรายการต่อราชการส่วนท้องถิ่นภายในเดือนมีนาคมของปี ตามแบบและวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับแบบแสดงรายการแล้วจะทำการประเมินภาษีป้ายตามหลักเกณฑ์วิธีการและอัตราภาษีป้ายตามบัญชีอัตราภาษีป้ายแล้วแจ้งการประเมินเป็นหนังสือไปยังเจ้าของป้าย หากเจ้าของป้ายผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีป้ายได้รับแจ้งการประเมินภาษีป้ายแล้วเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูกต้องผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายสิทธิอุทธรณ์การประเมินต่อผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้ซึ่งผู้บริหารท้องถิ่นมอบหมายได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน เมื่อผู้บริหารท้องถิ่นมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้อุทธรณ์ทราบ ผู้อุทธรณ์มีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้ซึ่งผู้บริหารท้องถิ่นมอบหมายโดยฟ้องเป็นคดีต่อศาลภาษีอากรภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์หากผู้อุทธรณ์ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนตามกฎหมายดังกล่าวผู้อุทธรณ์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากร เห็นว่า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543 โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาให้สิทธิและดูแลบำรุงรักษาศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทางรวม 250 หลัง ที่ทำกับจำเลยเป็นผลให้บรรดาวัสดุก่อสร้างและสิ่งก่อสร้างที่ดำเนินการแล้ว รวมทั้งป้ายโฆษณาที่ติดตั้งไว้ที่ศาลาที่พักผู้โดยสารดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 15 (ข) โจทก์จึงเป็นเจ้าของป้ายทั้งหมดนับแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2543 เมื่อจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของป้ายพิพาทในปี 2544 จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีป้ายในปีภาษี 2544 แม้จำเลยจะยื่นแบบแสดงรายการต่อเขตสวนหลวงและเขตบางกะปิเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2544 และวันที่ 30 มีนาคม 2544 ก็ไม่ทำให้จำเลยซึ่งไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีป้ายกลับกลายเป็นต้องเสียภาษีป้ายขึ้นมาการที่เจ้าพนักงานของโจทก์ทำการประเมินให้จำเลยเสียภาษีป้ายสำหรับปีภาษี 2544 จึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยจะไม่ได้อุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานของโจทก์ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน แต่คำสั่งของเจ้าพนักงานของโจทก์ที่สั่งให้จำเลยชำระภาษีป้ายตามการประเมินนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีผลบังคับให้จำเลยต้องชำระภาษีป้ายตามฟ้อง จำเลยจึงสามารถยกข้อต่อสู้โจทก์ได้ว่าการประเมินของเจ้าพนักงานของโจทก์เป็นการไม่ชอบได้ เพราะการอุทธรณ์การประเมินตามมาตรา 30 นั้น ใช้บังคับเฉพาะผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายที่เห็นว่าการประเมินไม่ถูกต้อง เมื่อจำเลยไม่ใช่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีป้ายก็ไม่มีเหตุที่จำเลยจะอุทธรณ์การประเมินที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีสิทธิให้การต่อสู้ว่าการประเมินของเจ้าพนักงานของโจทก์ไม่ชอบนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เมื่อการประเมินของเจ้าพนักงานของโจทก์ที่ให้จำเลยเสียภาษีป้ายไม่ชอบด้วยกฎหมายดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น โจทก์จึงไม่สามารถบังคับให้จำเลยชำระภาษีป้ายตามฟ้องให้แก่โจทก์ได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระภาษีป้ายตามฟ้อง พร้อมเงินเพิ่มให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share