คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12482/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายและจำเลยเคยมีความสัมพันธ์กันฉันชู้สาว ในวันเกิดเหตุจำเลยมาหาผู้เสียหายที่บ้านและกอดรัดผู้เสียหายในฐานะที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน แม้ผู้เสียหายจะปฏิเสธและจำเลยไม่เลิกราก็น่าจะเป็นเพราะจำเลยต้องการแสดงความรักต่อผู้เสียหายตามวิสัยชายที่มีต่อหญิงที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาบุกรุกและขาดเจตนาอนาจารผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365 (3), 278, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365 (3) ประกอบ 364 และ 278 การบุกรุกและอนาจารของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานอนาจาร จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 2 กระทง รวมจำคุกจำเลยมีกำหนด 12 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ แม้โจทก์มีนาง ว. ผู้เสียหาย เด็กหญิง ร. บุตรสาวผู้เสียหาย และนาง อ. ป้าของผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานยืนยันว่า จำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายและกอดรัดผู้เสียหาย แต่ก็ได้ความจากตัวผู้เสียหายเองว่า จำเลยมาที่บ้านของผู้เสียหายเป็นประจำและหลังจากเกิดเหตุครั้งแรก ผู้เสียหายได้เล่าเรื่องให้นาง อ. ผู้เป็นป้าฟัง ซึ่งคำเบิกความของผู้เสียหายส่วนนี้แตกต่างจากคำเบิกความของนาง อ. ซึ่งเบิกความว่านาง อ. ได้เห็นเหตุการณ์ที่จำเลยเข้าไปในบ้านและกอดรัดผู้เสียหายทั้งสองครั้ง ได้ความจากผู้เสียหายด้วยว่า หลังเกิดเหตุครั้งที่สองถึงวันที่ 26 กันยายน 2542 ผู้เสียหายได้เล่าเหตุการณ์ให้นาง ช. มารดาจำเลยฟัง ต่อมาวันที่ 28 เดือนเดียวกัน เมื่อผู้เสียหายพบกับจำเลย จำเลยได้ต่อว่าผู้เสียหายว่า “ชีวิตของเราทำไมจึงให้คนอื่นบงการ” ซึ่งคำพูดของจำเลยตามที่ผู้เสียหายเบิกความแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายและจำเลยน่าจะมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งเกินกว่าเพื่อนธรรมดา นอกจากนี้ผู้เสียหายและเด็กหญิง ร. เบิกความตอบทนายความจำเลยถามค้านรับว่าเด็กหญิง ร. และบุตรของจำเลยเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ผู้เสียหายเคยไปรับเด็กหญิง ร. และรับบุตรของจำเลยแทนจำเลย และจำเลยเคยรับเด็กหญิง ร. แทนผู้เสียหายและพามาเล่นที่บ้านของจำเลย ได้ความจากเด็กหญิง ร. อีกว่า เวลาที่จำเลยไปตัดยางจำเลยจะจอดรถจักรยานยนต์ไว้หน้าบ้านของผู้เสียหาย กับเบิกความตอบทนายความจำเลยถามค้านว่า จำเลยเคยแวะที่บ้านผู้เสียหายในช่วงเวลาค่ำ ผู้เสียหายยอมรับด้วยว่าผู้คนรอบบ้านของผู้เสียหายไปพูดเล่าลือกันว่าผู้เสียหายได้เสียกับจำเลย นอกจากนี้ภายหลังจากเกิดเหตุทั้งสองครั้ง ผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจในทันที แต่กลับร้องทุกข์ภายหลังเกิดเหตุเกือบสิบวัน ทั้งได้ความจากร้อยตำรวจเอกจักรกริชพนักงานสอบสวนว่า ในวันที่ 26 กันยายน 2542 ผู้เสียหายได้มาแจ้งให้ร้อยตำรวจเอกจักรกริชลงบันทึกไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของสถานีตำรวจภูธรอำเภอเขาชัยสนเพื่อให้เป็นหลักฐาน โดยผู้เสียหายจะเจรจาตกลงกับจำเลย ผู้เสียหายและจำเลยได้นัดพบกันในวันที่ 5 ตุลาคม 2542 แต่การเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้ ผู้เสียหายจึงยืนยันให้ดำเนินคดีแก่จำเลย เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยในวันที่ 5 ตุลาคม 2542 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายและกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงน่าจะเป็นว่าผู้เสียหายและจำเลยเคยมีความสัมพันธ์กันฉันชู้สาว และในวันเกิดเหตุจำเลยมาหาผู้เสียหายที่บ้านและกอดรัดผู้เสียหายในฐานะที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน แม้ผู้เสียหายจะปฏิเสธและจำเลยไม่เลิกราก็น่าจะเป็นเพราะจำเลยต้องการแสดงความรักต่อผู้เสียหายตามวิสัยชายที่มีต่อหญิงที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาบุกรุกและขาดเจตนาอนาจารผู้เสียหายไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share