คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12473/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ และตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสิบในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้ยกปัญหาข้อเท็จจริงว่า ป. ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 หรือไม่ และ ป. กับโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ขึ้นกล่าวแก้เป็นประเด็น ปัญหาทั้งสองข้อดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คำแก้ฎีกาของจำเลยทั้งสิบในส่วนนี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น (เฉพาะจำเลยที่ 1) และในศาลอุทธรณ์ภาค 7 ต้องห้ามฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสิบจึงยกขึ้นกล่าวแก้เป็นประเด็นในคำแก้ฎีกาในชั้นฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินให้แก่ ป. โดยมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ ป. โดยมิได้กลับเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินอีก แสดงว่าจำเลยที่ 1 สละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือที่ดินพิพาทอีกต่อไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 วรรคหนึ่ง แล้ว แม้ ป. จะได้ซื้อที่ดินและยึดถือทำประโยชน์เพื่อตนในระยะเวลาห้ามโอน ป. ไม่ได้สิทธิครอบครองเนื่องจากถูกจำกัดสิทธิโดยบทบัญญัติแห่ง ป.ที่ดิน มาตรา 58 ทวิ แต่เมื่อ ป. และโจทก์ซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยากับ ป. ได้ร่วมกันครอบครองที่ดินตลอดมาจนเลยเวลาห้ามโอนแล้ว ก็ยังครอบครองที่ดินอยู่ จึงถือได้ว่า ป. และโจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 นับแต่วันพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอน จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทไม่อาจนำที่ดินพิพาทไปแบ่งแยกโอนให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 จึงไม่มีสิทธิเข้าไปในที่ดินของโจทก์และจำเลยที่ 9 ไม่อาจนำที่ดินพิพาทบางส่วนไปจดทะเบียนจำนอง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับศาลล่างทั้งสองที่วินิจฉัยว่า ป. และโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 (ประเด็นนี้วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่)
สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตกเป็นโมฆะเพราะต้องห้ามตามกฎหมายที่มิให้โอนที่ดินพิพาท การที่ ป. ได้สิทธิครอบครองในที่ดินเป็นการได้ตามผลของกฎหมาย จึงหาอาจเรียกให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่ ป. ได้ไม่
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2553)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 ให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และใช้ค่าเสียหายเนื่องจากการไม่ได้เข้าทำประโยชน์ปีละ 60,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะได้กลับเข้าครอบครองที่ดินพิพาท
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 4 ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นทายาทยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนจำเลยทั้งสิบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 2741 ให้แก่นายเปี้ยน และนายเปี้ยนกับโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา แต่ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่ทางราชการห้ามโอนภายใน 10 ปี การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนายเปี้ยนกับจำเลยที่ 1 กระทำภายในกำหนดเวลาห้ามโอนจึงเป็นโมฆะ การครอบครองที่ดินพิพาทของนายเปี้ยนกับโจทก์จึงเป็นการครอบครองแทนจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า นายเปี้ยนกับโจทก์ได้แสดงเจตนาเปลี่ยนการครอบครอง นายเปี้ยนกับโจทก์จึงไม่ได้สิทธิในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ และคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสิบในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้ยกปัญหาข้อเท็จจริงว่า นายเปี้ยนได้ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 หรือไม่ และนายเปี้ยนกับโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ ขึ้นกล่าวแก้เป็นประเด็น ปัญหาทั้งสองข้อดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คำแก้ฎีกาของจำเลยทั้งสิบในส่วนนี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น (เฉพาะจำเลยที่ 1) และในศาลอุทธรณ์ภาค 7 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสิบจึงยกขึ้นกล่าวแก้เป็นประเด็นในคำแก้ฎีกาในชั้นฎีกาไม่ได้ด้วย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีคงมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า นายเปี้ยนกับโจทก์ได้สิทธิในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ที่ทางราชการออกให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2519 โดยมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี ตามมาตรา 58 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ก่อนพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้แก่นายเปี้ยน แล้วนายเปี้ยนเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท เมื่อโจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับนายเปี้ยน โจทก์กับนายเปี้ยนก็ร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 ขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ให้แก่นายเปี้ยนในขณะที่ยังอยู่ในระยะเวลาห้ามโอนที่ดิน ตามมาตรา 58 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ให้นายเปี้ยนกับโจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทดังกล่าวตลอดมา โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กลับเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทอีกจนเลยกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดห้ามโอนที่ดิน นายเปี้ยนกับโจทก์ก็ยังครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาโดยตลอด ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินให้แก่นายเปี้ยนโดยมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่นายเปี้ยน โดยมิได้กลับเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินอีก แสดงว่าจำเลยที่ 1 สละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือที่ดินพิพาทอีกต่อไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคหนึ่ง แล้ว แม้นายเปี้ยนจะได้ซื้อที่ดินและยึดถือทำประโยชน์เพื่อตนในระยะเวลาห้ามโอน นายเปี้ยนไม่ได้สิทธิครอบครองเนื่องจากถูกจำกัดสิทธิโดยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ แต่เมื่อนายเปี้ยนและโจทก์ซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยากับนายเปี้ยนได้ร่วมกันครอบครองที่ดินตลอดมาจนเลยเวลาห้ามโอนแล้ว ก็ยังครอบครองที่ดินอยู่ จึงถือได้ว่านายเปี้ยนและโจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 นับแต่วันพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอน จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ไม่อาจนำที่ดินพิพาทไปแบ่งแยกโอนให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 ได้ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 จึงไม่มีสิทธิเข้าไปในที่ดินของโจทก์ และจำเลยที่ 9 ไม่อาจนำที่ดินพิพาทบางส่วนไปจดทะเบียนจำนอง ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า นายเปี้ยนและโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับว่า ที่ดินพิพาทตามฟ้องนายเปี้ยนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ห้ามจำเลยทั้งสิบและบริวารเกี่ยวข้อง ให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินพิพาทตามแผนที่วิวาท ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 ให้จำเลยทั้งสิบใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินปีละ 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะออกไปจากที่ดินพิพาทตามแผนที่วิวาท ให้จำเลยที่ 9 ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 57 ตำบลหนองกระทุ่ม อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี หากไม่ไถ่ถอนให้โจทก์ไถ่ถอนได้เองโดยให้จำเลยที่ 9 เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ให้จำเลยทั้งสิบใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยให้คิดค่าขึ้นศาลเท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท

Share