แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่ธนาคารโจทก์บอกเลิกสัญญาทรัสต์รีซีท เพื่อให้จำเลยนำเงินค่าสินค้า ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่โจทก์ชำระแทนจำเลยไปแล้วคืนโจทก์ทันทีพร้อมดอกเบี้ย เป็นผลเพียงให้สัญญาทรัสต์รีซีทสิ้นสุดลง ส่วนความผูกพันในเรื่องดอกเบี้ยตามสัญญาที่ล่วงมาแล้วก่อนบอกเลิกสัญญายังคงมีเหมือนเดิมกรณีไม่อาจนำเรื่องการกลับคืนสู่ฐานะเดิมมาใช้บังคับ
สัญญาทรัสต์รีซีทที่ให้สิทธิโจทก์คิดดอกเบี้ยผิดนัดจากจำเลยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารโจทก์เรียกเก็บได้ตามประกาศของธนาคารโจทก์ มีลักษณะเป็นการกำหนดค่าสินไหมทดแทนความเสียหายไว้ล่วงหน้า จึงเป็นเบี้ยปรับตามสัญญา ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่งให้อำนาจศาลที่จะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่จำเลยที่ 1สำหรับการสั่งซื้อสินค้า โดยโจทก์ชำระหนี้ค่าสินค้าทุกรายการแทนจำเลยที่ 1 ไปเรียบร้อยแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 ทำสัญญาทรัสต์รีซีทให้ไว้แก่โจทก์ เพื่อขอรับเอกสารสำหรับออกสินค้าที่ส่งมาจากต่างประเทศจำนวน 3 ฉบับ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและจำเลยที่ 2จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ไว้กับโจทก์เมื่อหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทแต่ละฉบับครบกำหนด จำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้ตามสัญญา โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาต่าง ๆที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับโจทก์พร้อมทั้งทวงถามให้จำเลยทั้งห้าชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยที่ 2 แต่จำเลยทั้งห้าเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน1,833,663.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 1,485,271.05 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2ออกขายทอดตลาดบังคับจำนองและยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาด นำเงินสุทธิจากการขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ จนกว่าจะชำระครบถ้วน
จำเลยทั้งห้าให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งห้าในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม2541 เพราะโจทก์บอกเลิกสัญญาทุกประเภทแล้ว โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยเพียงอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 1,833,663.39บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวนี้ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารโจทก์มีประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่คิดจากลูกค้าต่ำกว่าอัตรานี้ ก็ให้คิดตามอัตราที่ประกาศนั้นแต่ต้องไม่เกินร้อยละ 21 ต่อปี หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 4106, 4110, 30485, 42467ตำบลแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติในเบื้องต้นว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกค้าโจทก์ จำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์ดำเนินการเกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศโดยการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตคือ โจทก์จะชำระค่าสินค้าแทนจำเลยที่ 1 เมื่อสินค้ามาถึงประเทศไทยแล้วจำเลยที่ 1 จะมาทำสัญญาทรัสต์รีซีทให้ไว้แก่โจทก์เพื่อนำสินค้าออกจากกรมศุลกากรไปจำหน่าย รวมสัญญาทรัสต์รีซีทที่จำเลยที่ 1 ทำไว้แก่โจทก์เป็นจำนวน 3 ฉบับคือตามเอกสารหมาย จ.10 จ.11 และ จ.12 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.22 และ จ.23 นอกจากนั้นจำเลยที่ 2ยังได้จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันตามเอกสารหมาย จ.13ถึง จ.16 และ จ.18 ถึง จ.21…..
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ในข้อ 3 ว่า เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาแล้วคู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม ดังนั้น นับแต่วันที่ 15 สิงหาคม2541 อันเป็นวันบอกเลิกสัญญา โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21ต่อปีไม่ได้ คงคิดได้เพียงอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เท่านั้น ในข้อนี้ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นว่า การบอกเลิกสัญญาทรัสต์รีซีท เอกสารหมาย จ.9 จ.10และ จ.11 เพื่อให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าสินค้า ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่โจทก์ชำระแทนจำเลยที่ 1 ไปแล้วคืนโจทก์ทันทีพร้อมดอกเบี้ยเป็นผลเพียงให้สัญญาทรัสต์รีซีทสิ้นสุดลง ส่วนความผูกพันตามสัญญาที่ล่วงมาแล้วก่อนมีการบอกเลิกสัญญายังคงมีเหมือนเดิม กรณีไม่อาจนำเรื่องการกลับคืนสู่ฐานะเดิมมาใช้บังคับดังอุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าได้ อย่างไรก็ตาม การที่ข้อ 4 และข้อ 7 ของสัญญาทรัสต์รีซีทดังกล่าวให้สิทธิโจทก์คิดดอกเบี้ยผิดนัดจากจำเลยที่ 1 ในอัตราสูงสุดที่ธนาคารโจทก์เรียกเก็บได้ตามประกาศของธนาคารโจทก์ และธนาคารโจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 เมื่อผิดนัดในอัตราที่โจทก์ประกาศเป็นอัตราสูงสุดที่เรียกเก็บได้จากลูกหนี้ที่ผิดเงื่อนไข ซึ่งสูงกว่าอัตราสินเชื่อทั่วไปของธนาคารโจทก์ โดยตามสัญญาทรัสต์รีซีทเอกสารหมาย จ.10 นับแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2540 ซึ่งจำเลยที่ 1ผิดนัด โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ในอัตราร้อยละ 22 ต่อปีสูงกว่าอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราสำหรับสินเชื่อทั่วไปในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ร้อยละ 2.4 ต่อปี จากนั้นคิดเพิ่มขึ้นอีกสองครั้งเป็นร้อยละ 23 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 กันยายน 2540และร้อยละ 25 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2541 แล้วคิดลดลงเหลือร้อยละ 21 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 กันยายน 2541 เป็นต้นมาสำหรับตามสัญญาทรัสต์รีซีท เอกสารหมาย จ.11 นับแต่วันที่ 2ตุลาคม 2540 ซึ่งจำเลยที่ 1 ผิดนัด โจทก์คิดดอกเบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 ในอัตราร้อยละ 23 ต่อปี สูงกว่าอัตราร้อยละ 20.5 ต่อปีซึ่งเป็นอัตราสำหรับสินเชื่อทั่วไปในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ร้อยละ2.5 ต่อปี จากนั้นคิดเพิ่มขึ้นอีกครั้งเป็นร้อยละ 25 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2541 แล้วคิดลดลงเหลือร้อยละ 21 ต่อปีนับแต่วันที่ 14 กันยายน 2541 เป็นต้นมา ส่วนตามสัญญาทรัสต์รีซีทเอกสารหมาย จ.12 นับแต่วันที่ 8 มกราคม 2541 ซึ่งจำเลยที่ 1ผิดนัด โจทก์คิดดอกเบี้ยเอาจากจำเลยที่ 1 ในอัตราร้อยละ 25ต่อปี สูงกว่าอัตราร้อยละ 21 ต่อปี สำหรับสินเชื่อทั่วไปในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ร้อยละ 4 ต่อปี จากนั้นลดลงมาเหลือร้อยละ 21 ต่อปีนับแต่วันที่ 14 กันยายน 2541 เป็นต้นมา ปรากฏตามประกาศธนาคารโจทก์และตารางอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อของธนาคารโจทก์เอกสารหมาย จ.25 และตารางแสดงภาระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทแต่ละฉบับเอกสารหมาย จ.26 จ.27 และ จ.28ดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเอาจากจำเลยที่ 1 สูงกว่าดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อทั่วไปโดยอาศัยสิทธิตามข้อสัญญามีลักษณะเป็นการกำหนดค่าสินไหมทดแทนความเสียหายไว้ล่วงหน้าดังกล่าวจึงเข้าลักษณะเป็นเบี้ยปรับตามสัญญา ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ให้อำนาจศาลที่จะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ เมื่อได้คำนึงถึงทางได้เสียทุกอย่างของโจทก์ในคดีนี้ ตลอดจนสภาวะเศรษฐกิจและการเงินแล้วเห็นสมควรลดเบี้ยปรับให้ต่ำลง โดยนับแต่วันที่ 27 สิงหาคม2540, 2 ตุลาคม 2540 และ 8 มกราคม 2541 อันเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดตามสัญญาทรัสต์รีซีทเอกสารหมาย จ.10จ.11 และ จ.12 ตามลำดับให้โจทก์คิดดอกเบี้ยสำหรับต้นเงินที่ค้างชำระตามสัญญาแต่ละฉบับดังกล่าวได้ในอัตราคงที่ร้อยละ21.5 ต่อปี ถึงวันที่ 13 กันยายน 2541 ซึ่งเป็นวันก่อนวันที่โจทก์ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยที่เรียกจากลูกหนี้ที่ผิดเงื่อนไขลงเหลือร้อยละ 21 ต่อปี และนับจากวันที่ 14 กันยายน 2541 ในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับอัตราดอกเบี้ยหลังฟ้องนั้น หากธนาคารโจทก์มีประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่คิดจากลูกหนี้ที่ผิดเงื่อนไขต่ำกว่าร้อยละ 21 ต่อปี ก็ให้คิดตามอัตราที่ประกาศนั้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งห้าชำระต้นเงินตามสัญญาทรัสต์รีซีท เอกสารหมาย จ.10 จ.11 และ จ.11 และจ.12 จำนวน 440,091.05 บาท 239,680 บาท และ805,500 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21.5ต่อปี จากต้นเงินตามสัญญาแต่ละฉบับดังกล่าว นับแต่วันที่ 27สิงหาคม 2540, 2 ตุลาคม 2540 และ 8 มกราคม 2541ตามลำดับ ถึงวันที่ 13 กันยายน 2541 และอัตราร้อยละ 21ต่อปี นับแต่วันที่ 14 กันยายน 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์สำหรับอัตราดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง นั้น หากธนาคารโจทก์มีประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่คิดจากลูกหนี้ที่ผิดเงื่อนไขต่ำกว่าร้อยละ 21 ต่อปี ก็ให้คิดตามอัตราที่ประกาศนั้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง