คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ธนาคารโจทก์บอกเลิกสัญญาทรัสต์รีซีท เพื่อให้จำเลยนำเงินค่าสินค้า ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่โจทก์ชำระแทนจำเลยไปแล้วคืนโจทก์ทันทีพร้อมดอกเบี้ย เป็นผลเพียงให้สัญญาทรัสต์รีซีทสิ้นสุดลง ส่วนความผูกพันในเรื่องดอกเบี้ยตามสัญญาที่ล่วงมาแล้วก่อนบอกเลิกสัญญายังคงมีเหมือนเดิม กรณีไม่อาจนำเรื่องการกลับคืนสู่ฐานะเดิมมาใช้บังคับได้
สัญญาทรัสต์รีซีทที่ให้สิทธิโจทก์คิดดอกเบี้ยผิดนัดจากจำเลยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารโจทก์เรียกเก็บได้ตามประกาศของธนาคารโจทก์ มีลักษณะเป็นการกำหนดค่าสินไหมทดแทนความเสียหายไว้ล่วงหน้า จึงเป็นเบี้ยปรับตามสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่จำเลยที่ ๑ สำหรับการสั่งซื้อสินค้า โดยโจทก์ชำระหนี้ค่าสินค้าทุกรายการแทนจำเลยที่ ๑ ไปเรียบร้อยแล้ว ต่อมาจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาทรัสต์รีซีทให้ไว้แก่โจทก์ เพื่อขอรับเอกสารสำหรับออกสินค้าที่ส่งมาจากต่างประเทศจำนวน ๓ ฉบับ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมและจำเลยที่ ๒ จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ไว้กับโจทก์ เมื่อหนี้ตามสัญญา ทรัสต์รีซีทแต่ละฉบับครบกำหนด จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหนี้ตามสัญญา โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาต่าง ๆ ที่จำเลยที่ ๑ ทำไว้กับโจทก์พร้อมทั้งทวงถามให้จำเลยทั้งห้าชำระหนี้พร้อมทั้งบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยที่ ๒ แต่จำเลยทั้งห้าเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน ๑,๘๓๓,๖๖๓.๓๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๑ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๑,๔๘๕,๒๗๑.๐๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ ๒ ออกขายทอดตลาดบังคับจำนอง และยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาด นำเงินสุทธิจากการขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนกว่าจะชำระครบถ้วน
จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำเลยที่ ๑ ประกอบธุรกิจเคมีเกษตรและเป็นลูกค้าของโจทก์ตั้งแต่ปี ๒๕๒๙ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประเภทต่าง ๆ โดยมีจำเลยที่ ๒ จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันไว้กับโจทก์ ในการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศโจทก์ให้วงเงินสินเชื่อแก่จำเลยที่ ๑ จำนวน ๑๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ไม่ยอมปล่อยเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ ทั้งหมดจนกระทั่งปี ๒๕๓๙ โจทก์ปล่อยเงินให้จำเลยที่ ๑ ได้เพียง ๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทำให้จำเลยที่ ๑ ประสบปัญหาในการประกอบธุรกิจจนทำให้จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ รวมทั้งหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทในคดีนี้ การที่โจทก์หยุดปล่อยสินเชื่อแก่จำเลยที่ ๑ ถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งห้าเป็นคดีนี้ การคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของโจทก์ไม่ถูกต้อง และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งห้าในอัตราร้อยละ ๒๑ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๑ เพราะโจทก์บอกเลิกสัญญาทุกประเภทกับจำเลยทั้งห้าแล้ว โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยเพียงอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องมาจึงไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน ๑,๘๓๓,๖๖๓.๓๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๑ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวนี้ ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารโจทก์มีประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่คิดจากลูกค้าต่ำกว่าอัตรานี้ ก็ให้คิดตามอัตราที่ประกาศนั้น แต่ต้องไม่เกินร้อยละ ๒๑ ต่อปี หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบ ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๑๐๖, ๔๑๑๐, ๓๐๔๘๕, ๔๒๔๖๗ ขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งห้าขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกค้าโจทก์ จำเลยที่ ๑ ตกลงให้โจทก์ดำเนินการเกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศโดยการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตคือ โจทก์จะชำระค่าสินค้าแทนจำเลยที่ ๑ เมื่อสินค้ามาถึงประเทศไทยแล้วจำเลยที่ ๑ จะมาทำสัญญาทรัสต์รีซีทให้ไว้แก่โจทก์เพื่อนำสินค้าออกจากกรมศุลกากรไปจำหน่าย รวมสัญญาทรัสต์รีซีทที่จำเลยที่ ๑ ทำไว้แก่โจทก์เป็นจำนวน ๓ ฉบับ คือตามเอกสารหมาย จ. ๑๐ จ. ๑๑ และ จ. ๑๒ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ. ๒๒ และ จ. ๒๓ นอกจากนั้น จำเลยที่ ๒ ยังได้จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันตามเอกสารหมาย จ. ๑๓ ถึง จ. ๑๖ และ จ. ๑๘ ถึง จ. ๒๑
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าข้อ ๒ และข้อ ๔ โดยจำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ว่า ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่รับฟังพยานหลักฐานของจำเลยทั้งห้าที่นำสืบว่าจำเลยที่ ๑ นำเช็คจากลูกค้ามาชำระหนี้แก่โจทก์และโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คดังกล่าวแล้วโดยวินิจฉัยว่าเป็นการนำสืบที่แตกต่างจากคำให้การนั้น เป็นการไม่ชอบ ในข้อนี้ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยทั้งห้า จำเลยทั้งห้าต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถชำระหนี้แก่โจทก์ได้เนื่องจากโจทก์ไม่ยอมปล่อยเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ ตามวงเงินจนจำเลยที่ ๑ ประสบปัญหาทางการเงินเท่ากับยอมรับว่าจำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง การนำสืบของจำเลยทั้งห้าในข้อนี้จึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่รับฟังพยานหลักฐานตามข้อนำสืบดังกล่าวจึงชอบแล้ว
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ในข้อ ๓ ว่า เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาแล้วคู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม ดังนั้น นับแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๑ อันเป็นวันบอกเลิกสัญญา โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๑ ต่อปี ไม่ได้คงคิดได้เพียงอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี เท่านั้น เห็นว่า การบอกเลิกสัญญาทรัสต์รีซีท เอกสารหมาย จ. ๙ จ. ๑๐ และ จ. ๑๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ นำเงินค่าสินค้า ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่โจทก์ชำระแทนจำเลยที่ ๑ ไปแล้วคืนโจทก์ทันทีพร้อมดอกเบี้ย เป็นผลเพียงให้สัญญาทรัสต์รีซีทสิ้นสุดลง ส่วนความผูกพันตามสัญญาที่ล่วงมาแล้วก่อนมีการบอกเลิกสัญญายังคงมีเหมือนเดิม กรณีไม่อาจนำเรื่องการกลับคืนสู่ฐานะเดิมมาใช้บังคับได้ อย่างไรก็ตาม การที่ข้อ ๔ และข้อ ๗ ของสัญญาทรัสต์รีซีทดังกล่าวให้สิทธิโจทก์คิดดอกเบี้ยผิดนัดจากจำเลยที่ ๑ ในอัตราสูงสุดที่ธนาคารโจทก์เรียกเก็บได้ตามประกาศของธนาคารโจทก์ และธนาคารโจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ ๑ เมื่อผิดนัดในอัตราที่โจทก์ประกาศเป็นอัตราสูงสุดที่เรียกเก็บได้จากลูกหนี้ที่ผิดเงื่อนไข ซึ่งสูงกว่าอัตราสินเชื่อทั่วไปของธนาคารโจทก์โดยตามสัญญาทรัสต์รีซีท เอกสารหมาย จ. ๑๐ นับแต่วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๔๐ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ผิดนัด โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ ๑ ในอัตราร้อยละ ๒๒ ต่อปี สูงกว่าอัตราร้อยละ ๑๙.๕ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราสำหรับสินเชื่อทั่วไปในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ร้อยละ ๒.๕ ต่อปี จากนั้นคิดเพิ่มขึ้นอีกสองครั้งเป็นร้อยละ ๒๓ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๔๐ และร้อยละ ๒๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๑ แล้วคิดลดลงเหลือร้อยละ ๒๑ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๑ เป็นต้นมาสำหรับตามสัญญาทรัสต์รีซีท เอกสารหมาย จ. ๑๑ นับแต่วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๔๐ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ผิดนัด โจทก์คิดดอกเบี้ยเอาจากจำเลยที่ ๑ ในอัตราร้อยละ ๒๓ ต่อปี สูงกว่าอัตราร้อยละ ๒๐.๕ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราสำหรับสินเชื่อทั่วไปในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ร้อยละ ๒.๕ ต่อปี จากนั้นคิดเพิ่มขึ้นอีกครั้งเป็นร้อยละ ๒๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๑ แล้วคิดลดลงเหลือร้อยละ ๒๑ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๑ เป็นต้นมา ส่วนตามสัญญาทรัสต์รีซีท เอกสารหมาย จ. ๑๒ นับแต่วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๔๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ผิดนัด โจทก์คิดดอกเบี้ยเอาจากจำเลยที่ ๑ ในอัตราร้อยละ ๒๕ ต่อปี สูงกว่าอัตราร้อยละ ๒๑ ต่อปี สำหรับสินเชื่อทั่วไปในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ร้อยละ ๔ ต่อปี จากนั้นลดลงมาเหลือร้อยละ ๒๑ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๑ เป็นต้นมา ปรากฏตามประกาศธนาคารโจทก์และตารางอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อของธนาคารโจทก์เอกสารหมาย จ. ๒๕ และ ตารางแสดงภาระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทแต่ละฉบับ เอกสารหมาย จ. ๒๖ จ. ๒๗ และ จ. ๒๘ ดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเอาจากจำเลยที่ ๑ สูงกว่าดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อทั่วไป โดยอาศัยสิทธิตามข้อสัญญามีลักษณะเป็นการกำหนดค่าสินไหมทดแทนความเสียหายไว้ล่วงหน้าดังกล่าว จึงเข้าลักษณะเป็นเบี้ยปรับตามสัญญา ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๓ วรรคหนึ่ง ให้อำนาจศาลที่จะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ เมื่อได้คำนึงถึงทางได้เสียทุกอย่างของโจทก์ในคดีนี้ ตลอดจนสภาวะเศรษฐกิจและการเงินแล้ว เห็นสมควรลดเบี้ยปรับให้ต่ำลง โดยนับแต่วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๔๐ ๒ ตุลาคม ๒๕๔๐ และ ๘ มกราคม ๒๕๔๑ อันเป็นวันที่จำเลยที่ ๑ ผิดนัดตามสัญญาทรัสต์รีซีท เอกสารหมาย จ. ๑๐ จ. ๑๑ และ จ. ๑๒ ตามลำดับ ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยสำหรับต้นเงินที่ค้างชำระตามสัญญาแต่ละฉบับดังกล่าวได้ในอัตราคงที่ร้อยละ ๒๑.๕ ต่อปี ถึงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นวันก่อนวันที่โจทก์ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยที่เรียกจากลูกหนี้ที่ผิดเงื่อนไขลงเหลือร้อยละ ๒๑ ต่อปี และนับจากวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๑ ในอัตราร้อยละ ๒๑ ต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับอัตราดอกเบี้ยหลังฟ้องนั้น หากธนาคารโจทก์มีประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่คิดจากลูกหนี้ที่ผิดเงื่อนไขต่ำกว่าร้อยละ ๒๑ ต่อปี ก็ให้คิดตามอัตราที่ประกาศนั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งห้าชำระต้นเงินตามสัญญาทรัสต์รีซีท เอกสารหมาย จ. ๑๐ จ. ๑๑ และ จ. ๑๒ จำนวน ๔๔๐,๐๙๑.๐๕ บาท ๒๓๙,๖๘๐ บาท และ ๘๐๕,๕๐๐ บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๑.๕ ต่อปี จากต้นเงินตามสัญญาแต่ละฉบับดังกล่าว นับแต่วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๔๐, ๒ ตุลาคม ๒๕๔๐ และ ๘ มกราคม ๒๕๔๑ ตามลำดับ ถึงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๑ และอัตราร้อยละ ๒๑ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๑ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ สำหรับอัตราดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้องนั้น หากธนาคารโจทก์มีประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่คิดจากลูกหนี้ที่ผิดเงื่อนไขต่ำกว่าร้อยละ ๒๑ ต่อปี ก็ให้คิดตามอัตราที่ประกาศนั้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง.

Share