แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของ รัฐบาล พ.ศ. 2496 และพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นพ.ศ. 2501 จำเลยจึงเป็นรัฐวิสาหกิจ โจทก์เป็นพนักงานของจำเลย โจทก์จึงเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจพ.ศ. 2534 ข้อ 45 ได้กำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขให้รัฐวิสาหกิจจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่ง เลิกจ้าง แต่ในข้อ 47 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบดังกล่าวระบุไว้ชัดแจ้งว่าพนักงานที่ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุเกษียณอายุไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามข้อ 45 ดังนี้เมื่อโจทก์ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุเกษียณอายุโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าชดเชยจากจำเลย จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อ 45 แห่งระเบียบดังกล่าวให้โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2521 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่หัวหน้ากองคลังได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 20,320 บาท ครบกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม 2540 จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุเกษียณอายุโดยไม่จ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 121,920 บาทและเงินบำเหน็จเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายคูณด้วยจำนวน20 ปีที่ทำงาน เป็นเงิน 406,400 บาท แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินบำเหน็จ 406,400 บาท และค่าชดเชย121,920 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ ขณะเมื่อโจทก์ทำงานกับจำเลย โจทก์ได้ทำงานด้วยความประมาทเลินเล่อโดยไม่ควบคุมดูแลการดำเนินการเกี่ยวกับการให้กู้เงินกองทุนตามหน้าที่เป็นช่องทางให้เสมียนพนักงานซึ่งโจทก์มอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่แทนทุจริตเอาเงินกู้ของกองทุนไป เป็นเหตุให้จำเลยต้องเสียหายอย่างร้ายแรง กรณีจึงต้องด้วยระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ข้อ 46(5)ประกอบกับข้อบังคับของจำเลย ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จฯ กำหนดว่าการจ่ายเงินบำเหน็จตามข้อบังคับนี้ ให้ถือว่าเป็นการจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายเกี่ยวกับแรงงานด้วย หากเงินบำเหน็จน้อยกว่าค่าชดเชยก็ให้จ่ายเพิ่มจนครบ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับทั้งค่าชดเชยและเงินบำเหน็จ อย่างไรก็ดีตามข้อบังคับดังกล่าวกำหนดไว้ด้วยว่าถ้าผู้ปฏิบัติงานใดมีข้อผูกพันจะต้องชดใช้เงินให้แก่จำเลยไม่ว่ากรณีใด เมื่อต้องพ้นจากหน้าที่หรือลาออกให้จำเลยหักเงินบำเหน็จของผู้ปฏิบัติงานนั้นจนครบตามข้อผูกพันก่อนแล้วจึงจ่ายส่วนที่เหลือเมื่อโจทก์พ้นหน้าที่เพราะเกษียณอายุ จำเลยได้หักเงินบำเหน็จที่โจทก์พึงได้ตามสิทธิชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวให้จำเลยจนหมดจึงไม่มีเงินบำเหน็จเหลือที่จะจ่ายให้โจทก์ต่อไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจได้เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุเกษียณอายุ มิใช่เพราะโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยตามฟ้องแก่โจทก์และเมื่อพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบฟังไม่ได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ จำเลยจึงต้องจ่ายเงินบำเหน็จแก่โจทก์โดยไม่มีสิทธินำเงินบำเหน็จดังกล่าวไปหักชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลย และเงินบำเหน็จกับค่าชดเชยเป็นเงินคนละประเภทข้อบังคับของจำเลยที่กำหนดว่าการจ่ายเงินบำเหน็จให้ถือว่าเป็นการจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานด้วยขัดต่อกฎหมายคุ้มครองแรงงานไม่มีผลบังคับ โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับทั้งเงินบำเหน็จและค่าชดเชย พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน121,920 บาท และเงินบำเหน็จจำนวน 406,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ให้โจทก์หรือไม่ เห็นว่า จำเลยจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาลพ.ศ. 2496 และพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นพ.ศ. 2501 จำเลยจึงเป็นรัฐวิสาหกิจ โจทก์เป็นพนักงานของจำเลย โจทก์จึงเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ข้อ 45 ได้กำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขให้รัฐวิสาหกิจจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่งเลิกจ้าง แต่ในข้อ 47 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบดังกล่าวระบุไว้ชัดแจ้งว่า พนักงานที่ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุเกษียณอายุไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามข้อ 45 เมื่อโจทก์ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุเกษียณอายุ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าชดเชยจากจำเลย จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อ 45 แห่งระเบียบดังกล่าวให้โจทก์
ที่จำเลยอุทธรณ์ประการต่อไปว่า ข้อบังคับองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จของผู้ปฏิบัติงานองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2524 ข้อ 9 วรรคท้าย ที่กำหนดว่า การจ่ายเงินบำเหน็จตามข้อบังคับนี้ให้ถือว่าเป็นการจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายเกี่ยวกับแรงงานด้วย ไม่ขัดต่อกฎหมายคุ้มครองแรงงานและไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ย่อมมีผลบังคับ หากโจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานต้องถือว่าโจทก์ได้รับค่าชดเชยรวมไปด้วยแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยอีกต่างหากนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุเกษียรอายุและโจทก์มีระยะเวลาการทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยทำงานมานาน 19 ปีเศษ ดังนี้ แม้โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวันนอกเหนือจากเงินบำเหน็จมาด้วย ซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ข้อ 47 วรรคหนึ่ง ก็ตามก็พอจะแปลคำฟ้องได้ว่าโจทก์ประสงค์ได้รับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเป็นจำนวนเท่ากับเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวันตามบทบัญญัติในข้อดังกล่าวโดยเรียกผิดเป็นเงินค่าชดเชยนั่นเอง เมื่อโจทก์ได้ปฏิบัติงานในช่วงก่อนเกษียณอายุติดต่อกันครบ 5 ปีขึ้นไป โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ตามข้อ 47 วรรคหนึ่งแต่เนื่องจากจำเลยมีข้อบังคับองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นว่าด้วยกองทุนบำเหน็จของผู้ปฏิบัติงานองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2524 ข้อ 9 วรรคท้าย กำหนดว่า เงินบำเหน็จที่จำเลยจ่ายให้แก่ผู้ปฏิบัติงานซึ่งเกษียณอายุตามข้อบังคับนี้ให้ถือว่าเป็นการจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานด้วยแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีระเบียบข้อบังคับในการจ่ายเงินค่าชดเชยกรณีพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุเกษียณอายุ และให้ถือว่าเงินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของเงินที่จ่ายให้เพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานสอดคล้องกับข้อ 47 วรรคสองแห่งระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ข้างต้นข้อบังคับของจำเลย ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จของผู้ปฏิบัติงานองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2524ข้อ 9 วรรคท้าย จึงหาได้ขัดกฎหมายและไม่มีผลบังคับดังคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางไม่จำเลยชอบที่จะจ่ายเงินบำเหน็จให้ตามสิทธิของโจทก์เพียงจำนวนเดียว
ที่จำเลยอุทธรณ์ในประการสุดท้ายว่า จำเลยสามารถยกข้ออ้างว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติงานเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้นั้น เห็นว่าหากจะถือว่าจำเลยสามารถยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ก็ไม่อาจทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป เพราะศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติแล้วว่าโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อจนเป็นช่องทางให้นายอำนวยทุจริตเบียดบังเงินกู้กองทุนสวัสดิการและกองทุนบำเหน็จของจำเลยอุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวน121,920 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง