แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยผลิตอีเฟดรีนและมีอีเฟดรีนที่ได้ผลิตขึ้นตามฟ้องไว้ในครอบครองเพื่อขาย เมื่ออีเฟดรีนที่จำเลยกับพวกร่วมกันผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันขายยาอีเฟดรีนผสมคาเฟอีนจำนวน 30,394 เม็ด อันเป็นยาแผนปัจจุบัน และเป็นยาอันตรายที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาตามกฎหมาย เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 มาตรา4, 12, 72, 79, 101, 122, 126 ซึ่งแตกต่างจากคดีนี้ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานผลิตและขายอีเฟดรีน ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 เป็นความผิดตามพ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 5, 6, 13 ทวิ,62, 89, 106, 116 อันมีองค์ประกอบของความผิดแตกต่างกัน และของกลางก็เป็นคนละจำนวนกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
เมื่อโจทก์มีทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร รวมทั้งวัตถุพยานพอรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม คำรับของจำเลยก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ศาลในการพิจารณา จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๔, ๕, ๖, ๑๓ ทวิ, ๖๒, ๘๙, ๑๐๖,๑๑๖ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒, ๓๓, ๙๑, ๘๓ และริบของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุขกับนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ ๑ ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๗๕๓/๒๕๓๖ ของศาลจังหวัดราชบุรี
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๑๓ ทวิ วรรคแรก, ๘๙ เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ให้ลงโทษฐานผลิตอีเฟดรีนจำคุก ๒๐ ปี ฐานขายอีเฟดรีน จำคุก ๒๐ ปี รวมจำคุกจำเลยมีกำหนด ๔๐ ปีริบของกลางทั้งหมด เว้นแต่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๙ ค – ๗๙๖๑ กรุงเทพมหานคร และจักรเย็บผ้าให้แก่กระทรวงสาธารณสุข ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่๙ เมษายน ๒๕๓๖ เวลาประมาณ ๖ นาฬิกา พันตำรวจโทนัฎฐ์ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางบัวทองกับพวกเข้าตรวจค้นบ้าน ๓ หลัง คือบ้านเลขที่๑๐๓/๘๑ เลขที่ ๑๑๑/๒๑๐ และเลขที่ ๑๑๕/๑๙๔ หมู่บ้านบัวทอง หมู่ที่ ๔ ตำบลบางรักพัฒนา อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี พบยาเม็ด ผงเกล็ดสี เครื่องจักรส่วนผสม อุปกรณ์ ภาชนะและสิ่งของตามบัญชีรายการตรวจยึดทรัพย์ของกลาง พร้อมทั้งจับกุมนายธนาคาร บุตรชายจำเลย และนางสาวกาญจนาภริยาจำเลยได้ที่บ้านเลขที่ ๑๑๑/๒๑๐ นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ต่อมาพนักงานสอบสวนส่งของกลางดังกล่าวไปตรวจพิสูจน์ ปรากฏว่ายาเม็ดจำนวน ๒,๔๐๐ เม็ด ที่ตรวจยึดได้ที่บ้านเลขที่ ๑๐๓/๘๑ ยาเม็ดจำนวน ๕๐,๐๐๐ เม็ด และผงเกล็ดสีน้ำหนัก ๑๐ กิโลกรัมที่ตรวจยึดได้ที่บ้านเลขที่ ๑๑๕/๑๙๔ เป็นอีเฟดรีน ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยผลิตอีเฟดรีนและมีอีเฟดรีนที่ได้ผลิตขึ้นไว้ในครอบครองเพื่อขาย
ที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวเพราะจำเลยมีเจตนาเพื่อขายและกระทำความผิดในวาระเดียวกัน คือผลิตแล้วขายไป จึงลงโทษฐานผลิตและฐานขายอีเฟดรีนเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันไม่ได้นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันขายอีเฟดรีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ โดยการร่วมกันมีอีเฟดรีนที่จำเลยกับพวกร่วมกันผลิตจำนวนดังกล่าวในฟ้องข้อ ๑ ก.ไว้ในครอบครองของจำเลยกับพวก เพื่อขายจำหน่าย จ่าย แจกให้แก่ผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่และไม่ได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมาย เมื่ออีเฟดรีนที่จำเลยกับพวกร่วมกันผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า จำเลยถูกจับกุมที่จังหวัดราชบุรีอันเป็นผลต่อเนื่องให้เจ้าพนักงานตำรวจขยายผลตรวจค้นบ้านของจำเลยทั้งสามหลังและพบของกลางเป็นจำนวนมาก คดีที่ศาลจังหวัดราชบุรีปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ได้มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีก จึงเป็นฟ้องซ้ำนั้น เห็นว่า คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันขายยาอีเฟดรีนผสมคาเฟอีนจำนวน ๓๐,๓๙๔ เม็ด อันเป็นยาแผนปัจจุบันและเป็นยาอันตรายที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาตามกฎหมาย เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.๒๕๑๐มาตรา ๔, ๑๒, ๗๒, ๗๙, ๑๐๑, ๑๒๒, ๑๒๖ ซึ่งแตกต่างจากคดีนี้ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานผลิตและขายอีเฟดรีน ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.๒๕๑๘มาตรา ๔, ๕, ๖, ๑๓ ทวิ, ๖๒, ๘๙, ๑๐๖, ๑๑๖ อันมีองค์ประกอบของความผิดแตกต่างกันและของกลางก็เป็นคนละจำนวนกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและศาลชั้นต้นยกขึ้นวินิจฉัย ศาลจะต้องลดโทษให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์มีทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร รวมทั้งวัตถุพยานพอรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม คำรับของจำเลยก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ศาลในการพิจารณา จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่ลดโทษให้จำเลยนั้นชอบแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานผลิตอีเฟดรีน จำคุก ๒๐ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒.