แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์อยู่กินกับจำเลยฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนและมีบุตรด้วยกัน โจทก์ซึ่งเป็นมารดามีอำนาจฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงบุตรผู้เยาว์รวมเข้ามาในคดีเดียวกับที่ขอให้จำเลยรับรองบุตรได้ ไม่ต้องฟ้องขอให้รับรองบุตรจนมีคำพิพากษาถึงที่สุดเสียชั้นหนึ่งก่อน
ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์นั้น โจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้นับแต่วันคำพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรถึงที่สุดส่วนค่าเลี้ยงดูที่โจทก์จ่ายไปตั้งแต่วันที่จำเลยเลิกร้างกับโจทก์จนถึงวันฟ้องนั้นบังคับให้ไม่ได้
ในชั้นศาลอุทธรณ์จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้เรื่องฟ้องเคลือบคลุม จำเลยยกปัญหานี้ขึ้นมาในชั้นฎีกาจึงเป็นการมิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้แต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยา ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีบุตรด้วยกัน 2 คน ยังเป็นผู้เยาว์ทั้งสองคน จำเลยเป็นผู้แจ้งการเกิดให้ใช้นามสกุล ให้การอุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษา และรับรองว่าเป็นบุตร ปลายปี พ.ศ. 2517 โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน บุตรทั้งสองอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์ จำเลยไม่เคยส่งเสียค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสอง ทั้ง ๆ ที่จำเลยมีฐานะดี ส่วนโจทก์มีฐานะยากจนลงต้องกู้เงินผู้มีชื่อมาใช้จ่ายเลี้ยงดูบุตรทั้งสองและให้การศึกษาเป็นเงินไม่น้อยกว่า 24,000 บาท ซึ่งจำเลยต้องรับผิดครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 12,000บาท โจทก์ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนรับรองบุตรทั้งสอง จำเลยผัดผ่อนไม่มีที่สิ้นสุด โจทก์ขอให้จำเลยอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 1,000 บาทจนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยจดทะเบียนรับรองบุตรทั้งสองเป็นของจำเลยต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากจำเลยไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองนับแต่วันฟ้องจนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะในอัตราเดือนละ 1,000 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์ บุตรทั้งสองไม่ใช่บุตรของจำเลย จำเลยไม่ได้แจ้งการเกิด ไม่ได้อนุญาตให้ใช้นามสกุลไม่เคยให้การอุปการะเลี้ยงดู โจทก์ไม่เคยขอร้องให้จำเลยจดทะเบียนรับรองบุตร จำเลยไม่ต้องรับผิดอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าอุปการะเลี้ยงดูเกินกว่าที่จำเป็นและเกินกว่าฐานะของจำเลยที่จะปฏิบัติได้ โจทก์มิได้กำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูว่ามีอะไรบ้าง ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องบุตรทั้งสองของโจทก์เกิดระหว่างโจทก์จำเลยอยู่กินกันฉันสามีภรรยา ให้จำเลยจดทะเบียนรับรองบุตรทั้งสอง หากจำเลยไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูบุตรแก่โจทก์เป็นเงิน 12,000 บาท ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงบุตรทั้งสองเป็นรายเดือนคนละ 500 บาทต่อเดือน นับแต่วันฟ้องจนกว่าบุตรทั้งสองจะมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 300 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูบุตรแก่โจทก์เป็นเงิน 7,200 บาท ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงบุตรทั้งสองเป็นรายเดือนคนละ 300 บาทต่อเดือน นับแต่วันฟ้องจนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะเว้นแต่พฤติการณ์จะเปลี่ยนแปลงไป ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูบุตรแก่โจทก์และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของโจทก์และจำเลยพร้อมกันไป
ปัญหาประการแรกที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูเพราะศาลยังมิได้พิพากษาว่าผู้เยาว์ทั้งสองเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ทั้งสองรวมเข้ามาในคดีเดียวกับที่ขอให้จำเลยรับรองบุตรย่อมทำได้ไม่มีกฎหมายห้าม โดยเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องต่อจากเรื่องการรับรองบุตร การฟ้องคดีสะดวกขึ้นไม่เยิ่นเย้อที่ต้องฟ้องคดีขอให้รับรองบุตรจนมีคำพิพากษาถึงที่สุดเสียชั้นหนึ่งก่อนแล้วจึงมาฟ้องขอค่าอุปการะเลี้ยงดูอีกภายหลัง อนึ่ง การฟ้องคดีรวมกันมาก็ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในเชิงคดีอย่างใด เพราะคดีมี 2 ประเด็นถ้าประเด็นข้อรับรองบุตรฟังไม่ได้เสียแล้ว ประเด็นข้อค่าอุปการะเลี้ยงดูก็ไม่ต้องวินิจฉัยไปในตัว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมกันกับขอให้รับรองบุตรได้ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการต่อมา จำเลยฎีกาว่าผู้เยาว์ทั้งสองไม่ใช่บุตรของจำเลย ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าผู้เยาว์ทั้งสองเป็นบุตรของจำเลย
ที่โจทก์ฎีกาเกี่ยวกับค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรโดยโจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากจำเลยรวม 2 รายการ คือค่าเลี้ยงดูที่โจทก์ใช้จ่ายไปตั้งแต่วันจำเลยเลิกร้างกับโจทก์ จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 3 ปี จำนวนเงิน 12,000 บาท และค่าเลี้ยงดูตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะอีกเดือนละ 1,000 บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1530(3)(เดิม) บัญญัติว่า “ถ้ามีคำพิพากษาว่าเป็นบุตรให้มีผลนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด” ค่าเลี้ยงดูที่โจทก์ใช้จ่ายไปตั้งแต่วันจำเลยเลิกร้างกับโจทก์จนถึงวันฟ้องจึงบังคับให้ไม่ได้ โจทก์คงมีสิทธิเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด กำหนดให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเป็นรายเดือนคนละ 500 บาทต่อเดือน
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่บุตรผู้เยาว์ทั้งสองเป็นรายเดือนคนละ 500 บาทต่อเดือน นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดเป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์