คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้มาติดต่อให้ผู้เสียหายทั้งสองไปบรรทุกทรายถึง2ครั้งแม้จะนานวันกันแต่ก็ติดต่อกันและอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันผู้เสียหายทั้งสองย่อมจดจำหน้าตาจำเลยได้เพราะมีการพูดคุยกันด้วยทั้ง2ครั้งเมื่อการเจรจาครั้งแรกไม่ตกลงจำเลยยังหวนกลับมาติดต่ออีกครั้งหนึ่งในวันรุ่งขึ้นเช่นนี้โอกาสที่ผู้เสียหายทั้งสองจะจดจำรูปพรรณของจำเลยย่อมมีมากขึ้นประกอบกับผู้เสียหายทั้งสองไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนจึงไม่มีเหตุให้ระแวงว่าผู้เสียหายทั้งสองจะเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยที่ ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวเบิกความแตกต่างกันไปบ้างนั้นก็ไม่ใช่ส่วนสาระสำคัญของคดีหากเป็นเพียงข้อปลีกย่อยเท่านั้นไม่ถึงกับทำให้รูปคดีโจทก์มีพิรุธและการที่เจ้าพนักงานตำรวจไปยึดเอารูปถ่ายของจำเลยมาให้ผู้เสียหายทั้งสองดูก่อนมีการจับจำเลยนั้นก็ไม่เป็นเหตุให้รูปคดีโจทก์มีน้ำหนักลดน้อยลงไปแต่อย่างใดเพราะผู้เสียหายทั้งสองจำได้และยืนยันตลอดมาว่าจำเลยเป็นคนร้ายร่วมปล้นทรัพย์ด้วยทั้งฎีกาจำเลยก็รับว่าเป็นคนติดต่อให้ผู้เสียหายทั้งสองบรรทุกทรายไปลงบริเวณที่เกิดเหตุแต่อ้างว่าได้ออกไปจากที่เกิดเหตุก่อนจะเกิดเหตุประมาณ1ชั่วโมงซึ่งเป็นการขัดแย้งกับข้อนำสืบอ้างฐานที่อยู่ของจำเลยพยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะแสร้งทำเป็นติดต่อว่าจ้างผู้เสียหายทั้งสองและล่อให้ผู้เสียหายทั้งสองขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อตามไปยังสถานที่เกิดเหตุเพื่อทำการปล้นทรัพย์อันเป็นความผิดฐาน ปล้นทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,340 ตรี ให้ จำเลย กับพวก ร่วมกัน คืน หรือ ใช้ ราคา ทรัพย์ ที่ ยัง ไม่ได้ คืนจำนวน 4,820 บาท แก่ ผู้เสียหาย
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 340 ตรีลงโทษ จำคุก 18 ปี ให้ จำเลย คืน หรือ ใช้ ราคา ทรัพย์ ที่ ยัง ไม่ได้ คืน4,820 บาท แก่ ผู้เสียหาย ทั้ง สอง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง เบื้องต้นรับฟัง ได้ว่า เมื่อ วันที่ 14 มีนาคม 2533 เวลา ประมาณ 20 นาฬิกามี คนร้าย หลาย คน ร่วมกัน ปล้นทรัพย์ เอา นาฬิกาข้อมือ แว่นตา และ เงินสดของ นาย สมยศ สุรชัยสติกุลและนายพิศาล สุรชัยสติกุล ผู้เสียหาย ทั้ง สอง กับ รถยนต์บรรทุก สิบล้อ หมายเลข ทะเบียน 70-0293 สุราษฎร์ธานีซึ่ง มี ผู้เสียหาย ที่ 1 เป็น คนขับ และ คัน หมายเลข ทะเบียน 70-0333สุราษฎร์ธานี มี ผู้เสียหาย ที่ 2 เป็น คนขับ ไป โดย รถยนต์บรรทุก สิบล้อทั้ง สอง คัน เป็น ของ นาย อุดร คล้ายอักษร คดี มี ปัญหา ที่ จะ ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ จำเลย ว่า จำเลย กระทำผิด ตาม ฟ้อง หรือไม่ นาย สมยศ และ นาย พิศาล ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ซึ่ง เป็น ประจักษ์พยาน โจทก์ เบิกความ สอดคล้อง ต้อง กัน ว่า คืน ก่อน วันเกิดเหตุ เวลา ประมาณ 19 นาฬิกาจำเลย กับพวก ขับ รถจักรยานยนต์ มา ว่าจ้าง ให้ ผู้เสียหาย ทั้ง สองไป บรรทุก ทราย แต่ ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ไม่ ตกลง รุ่งขึ้น ซึ่ง เป็นวันเกิดเหตุ เวลา 19.30 นาฬิกา จำเลย กับพวก ขับ รถจักรยานยนต์ มา ว่าจ้างให้ ไป บรรทุก ทราย อีก โดย จะ ให้ ค่าจ้าง คัน ละ 800 บาท ผู้เสียหายทั้ง สอง ตกลง แล้ว ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ก็ ขับ รถยนต์บรรทุก สิบล้อ สอง คันตาม รถจักรยานยนต์ ของ จำเลย และ พวก ไป บรรทุก ทราย ที่ ตำบล หนองไทร อำเภอ พุนพิน เมื่อ เอา ทราย ขึ้น รถยนต์บรรทุก สิบล้อ ทั้ง สอง คัน แล้ว จำเลย กับพวก ขับ รถจักรยานยนต์ นำ หน้า ให้ ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ขับรถยนต์บรรทุก สิบล้อ บรรทุก ทราย ตาม หลัง ไป ถึง บ้านน้ำรอบ จำเลย บอก ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ว่า ให้ เอา ทราบ ไป ส่ง ที่ บ้าน วังสวาทใหญ่ อำเภอ คีรีรัฐนิคม จังหวัด สุราษฎร์ธานี เมื่อ จำเลย กับพวก ขับ รถจักรยานยนต์ นำ รถยนต์บรรทุก สิบล้อ ของ ผู้เสียหาย ไป ถึง สวน ยางพาราที่เกิดเหตุ จำเลย บอก ให้ ผู้เสียหาย ทั้ง สอง จอดรถยนต์ บรรทุก สิบล้อรอ นายจ้าง ของ จำเลย ก่อน เพื่อ จะ ได้ สอบถาม ว่า จะ ให้ เอา ทราย ลง ตรง ไหนแล้ว จำเลย กับพวก หาย ไป ประมาณ 1 ชั่วโมง จน กระทั่ง เวลา ประมาณ21 นาฬิกา จำเลย กลับมา กับพวก อีก 7 ถึง 8 คน ผู้เสียหาย ทั้ง สองเห็น จำเลย กับพวก จาก แสง ไฟ หน้า รถยนต์บรรทุก สิบล้อ จำเลย เป็น คน เรียกให้ ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ลง จาก รถยนต์บรรทุก สิบล้อ แล้ว ชาย คนหนึ่งชัก อาวุธปืน ขู่ ผู้เสียหาย ที่ 2 ชาย คนร้าย ทุกคน มี อาวุธ โดย บางคน มี มีดบางคน มี มีดพร้า และ บางคน มี ขวาน ชาย ที่ ไป ด้วย ช่วย กัน มัด ผู้เสียหายทั้ง สอง ไว้ กับ ต้นยาง พา รา แล้ว ปลด เอา นาฬิกาข้อมือ เงินสด และแว่นตา กัน แดดจาก ผู้เสียหาย ทั้ง สอง จาก นั้น ได้ ขับ รถยนต์บรรทุก สิบล้อของ ผู้เสียหาย ทั้ง สอง หลบหนี ไป ทาง บ้านน้ำรอบ โดย มี พวก ของ จำเลย 3 คน ขับ รถจักรยานยนต์ นำ หน้า เห็นว่า จำเลย เป็น ผู้ มา ติดต่อ ให้ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ไป บรรทุก ทราย ถึง 2 ครั้ง แม้ จะ ต่าง วัน กัน แต่ ก็ติดต่อ กัน และ อยู่ ใน ช่วง เวลา เดียว กัน ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ย่อม จด จำหน้า ตา จำเลย ได้ เพราะ มี การ พูด คุย กัน ด้วย ทั้ง 2 ครั้ง เมื่อ การเจรจา ครั้งแรก ไม่ ตกลง จำเลย ยัง หวนกลับ มา ติดต่อ อีก ครั้ง ใน วันรุ่งขึ้นเช่นนี้ โอกาส ที่ ผู้เสียหาย ทั้ง สอง จะ จด จำ รูปพรรณ ของ จำเลย ย่อม มีมาก ขึ้น ประกอบ กับ ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ไม่เคย รู้ จัก จำเลย มา ก่อนจึง ไม่มี เหตุ ให้ ระแวง ว่า ผู้เสียหาย ทั้ง สอง จะ เบิกความ ปรักปรำใส่ ร้าย จำเลย ที่ ประจักษ์พยาน โจทก์ ทั้ง สอง ดังกล่าว เบิกความแตกต่าง กัน ไป บ้าง นั้น ก็ ไม่ใช่ ส่วน สาระสำคัญ ของ คดี หาก เป็น เพียงข้อ ปลีกย่อย เท่านั้น ไม่ถึง กับ ทำให้ รูปคดี โจทก์ มี พิรุธ และ การ ที่เจ้าพนักงาน ตำรวจ ไป ยึด เอา รูปถ่าย ของ จำเลย มา ให้ ผู้เสียหาย ทั้ง สองดู ก่อน มี การ จับ จำเลย นั้น ก็ ไม่เป็นเหตุ ให้ รูปคดี โจทก์ มี น้ำหนักลด น้อยลง ไป แต่อย่างใด เพราะ ผู้เสียหาย ทั้ง สอง จำ ได้ และ ยืนยัน ตลอดมาว่า จำเลย เป็น คนร้าย ร่วม ปล้นทรัพย์ ด้วย ทั้ง ฎีกา จำเลย ก็ รับ ว่า เป็นคน ติดต่อ ให้ ผู้เสียหาย ทั้ง สอง บรรทุก ทราย ไป ลง บริเวณ ที่เกิดเหตุแต่ อ้างว่า ได้ ออก ไป จาก ที่เกิดเหตุ ก่อน จะ เกิดเหตุ ประมาณ 1 ชั่วโมงซึ่ง เป็น การ ขัดแย้ง กับ ข้อ นำสืบ อ้าง ฐาน ที่อยู่ ของ จำเลย พยาน ฐานที่อยู่ ของ จำเลย ไม่อาจ หักล้าง พยานโจทก์ ได้ พยานหลักฐาน โจทก์เท่าที่ นำสืบ มา ฟังได้ ว่า จำเลยร่วม กับพวก ใช้ รถจักรยานยนต์ เป็นยานพาหนะ มา แสร้งทำ เป็น ติดต่อ ว่าจ้าง ผู้เสียหาย ทั้ง สอง และ ล่อ ให้ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ขับ รถยนต์บรรทุก สิบล้อ ตาม ไป ยัง สถานที่เกิดเหตุเพื่อ ทำการ ปล้นทรัพย์ อันเป็น ความผิด ฐาน ปล้นทรัพย์ โดย ใช้รถจักรยานยนต์ เป็น ยานพาหนะ เพื่อ กระทำผิด ดัง ฟ้อง ที่ ศาลล่าง ทั้ง สองพิพากษา ลงโทษ จำเลย มา นั้น ศาลฎีกา เห็นพ้อง ด้วย ฎีกา จำเลย ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share