แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยทำยอมความยอมแบ่งที่พิพาทกัน และศาลพิพากษาตามยอมแล้ว เมื่อจำเลยอ้างว่าทำยอมไปโดยความสำคัญผิด ทำให้จำเลยเสียเปรียบ และจำเลยได้เนื้อที่น้อยไปจากแผนที่จำลองท้ายยอมที่ศาลขีดไว้ ส่วนโจทก์กลับได้ที่ดินมากขึ้น ขอให้ศาลเรียกโจทก์มาสอบถามเพื่อสั่งให้โจทก์จำเลยได้ที่ดินตรงตามเหตุผลและตรงตามแผนที่ท้ายยอม ดังนี้ จำเลยชอบทีจะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138 แต่ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยจะอุทธรณ์ได้
ย่อยาว
คดีนี้ เนื่องจากโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งที่ดินโฉนดที่ ๓๑๖ ตามแผนที่จำลองท้ายสัญญาประนีประนอม และศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว (ส่วนจำเลยที่ ๒ นั้น โจทก์ขอถอนฟ้องไปก่อนแล้ว) ต่อมาช่างแผนที่ไปรังวัดแบ่งแยกตามสัญญายอมความ แต่แบ่งแยกไม่ได้เพราะมีสิ่งปลูกสร้างกีดขวาง จำเลยที่ ๑ จึงยื่นคำร้องว่า การที่จำเลยทำยอมความไปนั้นเป็นการเข้าใจและสำคัญผิดในสาระสำคัญ ทำให้จำเลยเสียเปรียบ ทำให้รูปที่ดินเสียและจำเลยได้เนื้อที่น้อยไปจากแผนที่จำเลยท้ายยอมที่ศาลขีดไว้ ส่วนโจทก์กลับได้ที่ดินมากขึ้น ขอให้เรียกโจทก์มาสอบถามเพื่อให้โจทก์จำเลยได้ที่ดินตรงกับแผนที่ที่ศาลขีดไว้
ศาลชั้นต้นเรียกโจทก์จำเลยมาสอบถามแล้ว แต่ตกลงกันไม่ได้ จึงมีคำสั่งว่า เมื่อคู่ความไม่ตกลงกันเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลก็ไม่มีทางบังคับได้ คงให้ถือตามที่ได้ยอมกันไว้
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปตามยอมแล้ว จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๘ แต่จำเลยหาทำไม่ จนคดีถึงที่สุดแล้ว ทั้งข้ออ้างต่าง ๆ ตามคำร้องของจำเลยก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยจะอุทธรณ์ได้ จำเลยจะอ้างจะอ้างความสำคัญผิดในสารคัญมาเป็นเหตุให้แก้ไขเปลี่ยนแปลง สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วหาได้ไม่
พิพากษายืน