คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1243/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยเบื้องต้นว่าสัญญาท้ายคำให้การและฟ้องแย้งเป็นสัญญาประนีประนอม ดังนี้ประเด็นข้อวินิจฉัยก็อยู่ที่ว่าข้อความที่ปรากฎในเอกสารฉบับนั้นจะเป็นการเพียงพอตาม ก.ม.ที่ศาลจะบังคับให้เป็นไปตามนั้นหรือไม่เท่านั้น ถ้าศาลเห็นว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอหรือข้อความกำกวม จำเป็นต้องฟังพยานหลักฐานอื่นต่อไปก่อนก็อาจระงับไว้โดยยังไม่วินิจฉัยปัญหาเบื้องต้นในชั้นนี้ก็ได้
อนึ่งยังปรากฎต่อไปว่าศาลได้เปรียบเทียบให้คู่ความอ้างนายเย๊ะเป็นพยานคนกลางแต่เพียงคนเดียว โจทก์ไม่ยอมฉนั้นเมื่อศาลชั้นต้นเรียกนายเย๊ะเข้ามาเป็นพยานศาลและรับฟังตามคำพยานปากนี้ขึ้นปรับคดีให้โจทก์แพ้จึงเป็นการไม่ชอบ
สัญญาที่จำเลยขอให้วินิจฉัยเบื้องต้นโดยอ้างว่าเป็นสัญญาประนีประนอม ฯ นั้น แม้จะยอมรับฟังว่าเป็นสัญญาประนีประนอมแต่บุตรของโจทก์ทั้ง 3 ยังไม่บรรลุนิติภาวะฉนั้นมารดาย่อมไม่มีสิทธิที่จะทำสัญญาประนีประนอม ฯ เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของบุตรผู้เป็นเด็กโดยลำพังตาม ป.พ.พ.ม.1546 ข้อพิพาทจึงไม่อาจระงับไปได้ คดีจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่าที่สวนมะพร้าวที่นาท้ายฟ้องเป็นของโจทก์กับนายปาเกมิสามีโจทก์ ได้มาระหว่างเป็นสามีภรรยาและมีบุตรด้วยกัน ๓ คนยังไม่บรรลุนิติภาวะ สามีโจทก์ตายแล้วที่ดินจะเป็นสินสมรสได้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งและเป็นมรดกได้แก่โจทก์อีก ๑ ใน ๔ นอกนั้นเป็นของบุตร ๓ คน จำเลยบุกรุกที่พิพาทโจทก์ห้ามไม่ฟัง ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินรายพิพาทเป็นสินสมรสและส่วนมรดกและห้ามจำเลย
จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยและว่าคดีนั้นเคยพิพาทกันมาในชั้นอำเภอคราวหนึ่งแล้วซึ่งโจทก์และจำเลยที่ ๑ ตกลงกันให้นายเย๊ะโต๊ะอิหม่ำเป็นผู้ชี้ขาด นายเย๊ะโต๊ะอิหม่ำเป็นผู้ชี้ขาด นายเย๊ะชี้ขาดให้ที่ดินพิพาทกับที่ดินนอกพิพาทอีก ๑ แปลงเป็นของจำเลยที่ ๑ตามสัญญาประนีประนอมยอมความท้ายคำให้การข้อพิพาทในเรื่องนี้จึงระงับสิ้นไป โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจึงฟ้องแย้งให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นชอบด้วย ก.ม.และให้ที่พิพาททั้งหมดเป็นของจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ให้การเช่นเดียวกับจำเลยที่ ๑ และว่าจำเลยที่ ๑ ยกกรรมสิทธิให้จำเลยที่ ๒ โดยชอบแล้ว
โจทก์แก้ฟ้องแย้งเหมือนฟ้องเดิมและว่าข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ นั้นไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความตาม ก.ม.และข้อตกลงเปรียบเทียบนั้นจำเลยที่ ๑ หาได้กรรมสิทธิในที่พิพาทเป็นของฝ่ายใดจำเลยยอมแต่โจทก์ไม่ยอมการเปรียบเทียบจึงยุติ จำเลยยืนยันว่าโจทก์จำเลยที่ ๑ เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในอำเภอลือเสาะแล้ว เป็นประเด็นตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ จึงขอให้ศาลยกเอาสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนั้นขึ้นพิจารณาและชี้ขาดในปัญหาเบื้องต้นประการนี้เสียก่อน โจทก์ยอมรับได้ทำสัญญาประนีประนอมจริง แต่ค้านว่าข้อความในสัญญานั้นมุ่งไปในทางให้จำเลยที่ ๑ มีสิทธิเก็บกินในที่พิพาทไปจนกว่าจะตายเท่านั้น ไม่ได้มุ่งให้เป็นกรรมสิทธิ
ศาลชั้นต้นเห็นควรหยิบยกสัญญาดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาชี้ขาดตามข้อเสนอของจำเลย และให้หมายเรียกนายเย๊ะมาเบิกความเป็นพยาน แล้วงดสืบพยานโจทก์จำเลยทั้งสิ้นโดยวินิจฉัยว่าคู่ความรับกันในเรื่องสัญญาประนีประนอมยอมความท้ายคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลย คงเถียงแต่ว่าข้อความในสัญญาฉบับนั้นบ่งให้จำเลยที่ ๑ มีแต่สิทธิเก็บกินตามที่โจทก์อ้าง หรือมุ่งให้ที่พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิของจำเลยที่ ๑ เพื่อให้ได้ความชัดเจนขึ้นในข้อที่ว่าจำเลยที่ ๑ มีสิทธิอย่างไรกันแน่ ศาลจึงหมายเรียกนายเย๊ะมาในฐานะพยานศาล ซึ่งนายเย๊ะให้การว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ โดยเด็ดขาดไม่ใช่เพียงแต่อาศัยเก็บกินในระหว่างมีชีวิตอยู่เท่านั้น เห็นว่าจำเลยสืบสมข้อต่อสู้ พิพากษายกฟ้องโจทก์ ทรัพย์พิพาทเป็นกรรมสิทธิของจำเลย ฯลฯ
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ เสียด้วย
โจทก์และจำเลยทั้งสองฝ่ายฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยเสนอให้ศาลวินิจฉัยปัญหาเบื้องต้นว่าสัญญาท้ายคำให้การและฟ้องแย้งโดยอ้างว่าเป็นสัญญาประนีประนอมประเด็นข้อวินิจฉัยก็อยู่ที่ว่าข้อความที่ปรากฎในเอกสารฉบับนั้นจะเป็นการเพียงพอตาม ก.ม.ที่ศาลจะบังคับให้ได้เพียงใดหรือไม่เท่านั้น ถ้าศาลเห็นว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอหรือข้อความยังกำกวมจำเป็นต้องฟังหลักฐานพยานอื่นต่อไปก่อน ก็อาจระงับไว้โดยยังไม่รับวินิจฉัยปัญหาเบื้องต้นในชั้นนี้ก็ได้ อนึ่งปรากฎว่าศาลได้เปรียบเทียบให้คู่ความอ้างนายเย๊ะ เป็นพยานคนกลางแต่เพียงคนเดียว แต่โจทก์ไม่ยอมและขอให้สืบพยานต่อไปทั้งหมด จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะเรียกนายเย๊ะเข้ามาเป็นพยานในชั้นนี้ ฉนั้นการที่ศาลชั้นต้นหมายเรียกนายเย๊ะเข้ามาเป็นพยานศาลแลรับฟังตามคำพยานปากนี้ขึ้นปรับคดีให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้จึงเป็นการไม่ชอบ
สัญญาดังกล่าวบรรยายข้อความเห็นได้ชัดว่าโจทก์ต่อสู้คดีในชั้นต้นเพื่อรักษาผลประโยชน์ของบุตรทั้ง ๓ คน โดยอ้างว่าที่ดินเป็นของนายเจะมิ และนายเจะมิทำหนังสือยกให้บุตรทั้ง ๓ คนนั้นแล้ว และตามคำท้าก็ยังยืนยันว่าถ้าชนะคำท้าที่ดินก็เป็นของบุตรทั้ง ๓ คนนั้น หากแพ้บุตรทั้ง ๓ คนก็หมดสิทธิในที่ดินรายนี้โดยสิ้นเชิง เป็นดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาฉบับที่จำเลยเสนอขึ้นมาขอให้วินิจฉัยปัญหาเบื้องต้นโดยอ้างว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความอันจะพึงกระทำให้ข้อพิพาทในเรื่องที่ดินเหล่านี้ระงับไปแล้วนั้น แม้จะยอมรับฟังว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ตามที่จำเลยเสนอก็ดี แต่บุตรทั้ง ๓ คนของโจทก์นี้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ (ปรากฎตามฟ้องข้อ ๓) ฉนั้นมารดาย่อมไม่มีสิทธิที่จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวข้องแก่ทรัพย์สินของบุตรผู้เป็นเด็กโดยลำพังตาม ป.พ.พ.ม.๑๕๔๖ ข้อพิพาทไม่อาจระงับไปได้ประการใด คดีจึงจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปแล้วพิพากษาใหม่

Share