แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
กรณีผู้เสียภาษีอากรอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งของศาลที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีที่ผู้เสียภาษีอากรถูกฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลายก็ดี หรือกรณีลูกหนี้ถูกแจ้งการประเมินภาษีและมิได้อุทธรณ์การประเมินนั้นต่อคณะกรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือต่อศาลในเรื่องการประเมินก็ดี ทั้งสองกรณีไม่อยู่ในเงื่อนไขของแถลงการณ์กระทรวงการคลัง ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2525 ดังนั้น เมื่อลูกหนี้ชำระค่าภาษีอากรค้างให้โจทก์ครบถ้วน และภายในเวลาที่กำหนดลูกหนี้ย่อมได้รับยกเว้นเงินเพิ่มและเบี้ยปรับตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังดังกล่าว โดยไม่ต้องขอถอนฟ้องก่อน เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว ทั้งนี้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายที่จะได้รับชำระหนี้โดยเสมอภาคแต่คดีที่ลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด มีเจ้าหนี้เพียงรายเดียวคือโจทก์ ลูกหนี้ชำระหนี้แก่โจทก์ได้โดยตรงได้ ไม่ก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น การชำระหนี้ของลูกหนี้จึงเท่ากับเป็นการชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อลูกหนี้ชำระหนี้เต็ม จำนวน เหตุที่จะให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายหมดไป จึงต้องยกเลิกการล้มละลาย.
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องจากเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์แจ้งการประเมินให้ลูกหนี้ (จำเลย) ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าให้โจทก์รวม 326,425.50 บาท ลูกหนี้ไม่อุทธรณ์การประเมินและไม่ชำระค่าภาษีอากรโจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลาย วันที่ 29 สิงหาคม 2526 ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลาย วันที่ 18 กันยายน 2528 ลูกหนี้ยื่นคำร้องว่าขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาก่อนศาลนั้นพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดนั้น ได้มีแถลงการณ์กระทรวงการคลังลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2525 ตามสำเนาเอกสารท้ายคำร้องหมาย 1 เปิดโอกาสให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรชำระภาษีอากรเพิ่มเติมให้ถูกต้องภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2525 โดยผู้เสียภาษีจะได้รับประโยชน์ที่จะไม่ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มหรือเบี้ยปรับใด ๆ สรรพากรจังหวัดนนทบุรีจึงมีหนังสือลงวันที่ 22 มีนาคม2525 ตามสำเนาเอกสารท้ายคำร้องหมาย 3 แจ้งให้ลูกหนี้ทราบว่าตามที่ได้แจ้งประเมินไปยังลูกหนี้ว่าเป็นหนี้ภาษีอากร จำนวน 296,800.98บาท นั้น หากลูกหนี้จะชำระเงินภาษีอากรภายในระยะเวลาข้างต้นลูกหนี้จะได้รับยกเว้นไม่ต้องชำระเบี้ยปรับเงินเพิ่มตามแถลงการณ์กระทรวงการคลัง คงต้องชำระเฉพาะเงินภาษีอากรเพียง 88,806.33บาท เท่านั้น ลูกหนี้จึงนำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระต่อสรรพากรอำเภอเมืองนนทบุรีโดยมีเงื่อนไขตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังข้อ 9 ที่ว่า”ถ้าถาษีอากรค้างนั้น ค้างอยู่ในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือต่อศาล ผู้เสียภาษีอากรต้องขอถอนอุทธรณ์หรือถอนฟ้องนั้นและได้รับอนุมัติเสียก่อน” ลูกหนี้จึงได้ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา แต่ศาลฎีกาไม่อนุญาต โจทก์จึงไม่รับเงินค่าภาษีอากรดังกล่าว และส่งเงินนั้นเข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลาย ลูกหนี้เห็นว่าตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 มาตรา 3 อัฏฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรได้ แต่หาได้มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขให้ลูกหนี้ขอถอนฎีกาและให้ศาลอนุญาตเสียก่อนไม่ ดังนั้น ข้อตกลงที่ลูกหนี้ทำไว้กับสรรพากรอำเภอเมืองนนทบุรีเรื่องขอถอนฎีกา และศาลฎีกาต้องอนุญาตเสียก่อน จึงไม่มีผลแต่อย่างใด เมื่อลูกหนี้ชำระภาษีอากรตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังแล้ว จึงไม่มีภาษีอากรที่ลูกหนี้จะต้องชำระให้โจทก์อีก หนี้สินของลูกหนี้ในคดีนี้จึงเป็นอันได้ชำระเต็มจำนวนแล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา 135(2) และ (3)
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่า สรรพากรอำเภอเมืองนนทบุรีรับเงินค่าภาษีของลูกหนี้ไว้โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าภาษีอากรที่ค้างนั้นศาลไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องถือว่าการชำระภาษีของลูกหนี้ไม่เข้าเงื่อนไขตามแถลงการณ์กระทรวงการคลัง เมื่อศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ถอนฎีกา สรรพากรอำเภอเมืองนนทบุรีจึงส่งเงินจำนวนนั้นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อรวบรวมไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้สำหรับแบ่งให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เพียงรายเดียวที่ขอรับชำระหนี้และศาลมีคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้ภาษีอากรจำนวน 337,315.70บาท ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับเงินไว้แล้วได้ดำเนินการแบ่งทรัพย์สินให้แก่โจทก์เป็นครั้งที่สุด (ครั้งเดียว) ตามพระราชบัญญัติล้มละลายโดยหักค่าธรรมเนียมไว้ร้อยละ 5 คงจ่ายส่วนแบ่งให้โจทก์เป็นเงิน 79,134.26 บาทกรณียังถือไม่ได้ว่า ลูกหนี้ได้ชำระหนี้เต็มจำนวนที่จะเป็นเหตุให้ยกเลิกการล้มละลายตามที่ขอได้ การยกเลิกการล้มละลายในกรณีนี้จะต้องเข้าเงื่อนไขตามมาตรา 135(4) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 ที่ว่าเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แบ่งทรัพย์ครั้งที่สุดแล้วภายในกำหนดเวลา 10 ปี ต่อแต่นั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่อาจรวบรวมทรัพย์สินของบุคคลล้มละลายได้อีก และไม่มีเจ้าหนี้ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จัดการรวบรวมทรัพย์สินของบุคคลล้มละลายจึงจะยกเลิกการล้มละลายได้ ขอให้ยกคำร้อง
ส่วนโจทก์คัดค้านว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังที่กล่าวข้างต้น โจทก์ได้รับเงินตามคำร้องของลูกหนี้โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าศาลไม่อนุมัติให้ถอนฟ้องให้ถือว่าลูกหนี้ไม่มีสิทธิชำระภาษีตามแถลงการณ์ ดังนั้น เมื่อศาลฎีกาไม่อนุญาตให้จำเลยถอนฎีกา จึงถือว่าลูกหนี้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้วไม่ได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังกำหนดเงื่อนไขว่า ถ้าภาษีอากรค้างนั้น ค้างอยู่ในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือต่อศาล ผู้เสียภาษีขอถอนอุทธรณ์หรือถอนฟ้องและได้รับอนุมัติก่อน คดีนี้ลูกหนี้นำเงิน 88,806.33 บาทไปชำระค่าภาษีอากรค้างตามคำแถลงการณ์กระทรวงการคลัง และได้ขอถอนฎีกา แต่ศาลฎีกาไม่อนุญาต ลูกหนี้จึงไม่ได้รับประโยชน์จากแถลงการณ์ดังกล่าว ลูกหนี้จึงยีงมีหนี้ที่จะต้องชำระให้โจทก์อีก200,000 บาทเศษและตามประมวลรัษฎากร มาตรา 3 อัฏฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจที่จะกำหนดเงื่อนไขและเงื่อนเวลาได้ เมื่อลูกหนี้ชำระภาษีอากรที่ค้างไปเพียง 88,806.33 บาท จึงยังไม่พอตามจำนวนหนี้ที่ค้าง ที่ลูกหนี้จะขอให้สั่งยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา 135(2) และ (3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483ไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เงื่อนไขตามแถลงการณ์ของกระทรวงการคลัง ข้อ 4 วรรคสอง ที่ระบุว่า “ถ้าภาาีอากรค้างนั้นค้างอยู่ในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือต่อศาลผู้เสียภาษีอากรต้องขอถอนอุทธรณ์หรือถอนฟ้องและได้รับอนุมัติเสียก่อน”ลูกหนี้จึงจะได้รับประโยชน์จากแถลงการณ์กระทรวงการคลังนั้นหมายถึงมีกรณีพิพาทกันเกี่ยวกับจำนวนเงินภาษีอากรที่จะต้องชำระทั้งนี้เพื่อให้จำนวนภาษีอากรที่เจ้าพนักงานประเมินไว้ยุติเสียก่อนว่าลูกหนี้จะต้องเสียหรือไม่แต่คดีนี้ เมื่อมีการประเมินแล้วไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือต่อศาล จึงไม่มีเหตุที่ลูกหนี้จะต้องขอถอนอุทธรณ์หรือถอนฟ้องเสียก่อนการที่โจทก์ฟ้องคดีล้มละลายไม่ใช่เป็นการฟ้องขอให้ชำระภาษีอากรค้าง ฉะนั้นการที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ลูกหนี้ฎีกา และขอถอนฎีกา ศาลฎีกาจะอนุญาตหรือไม่ ไม่อยู่ในเงื่อนไขตามข้อ 4 วรรคสอง ของแถลงการณ์กระทรวงการคลังดังกล่าว เมื่อลูกหนี้ได้ชำระภาษีอากรตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังครบถ้วนตามจำนวนที่สรรพากรจังหวัดนนทบุรีแจ้งให้ทราบภายในกำหนดเวลาและปรากฏว่าโจทก์เป็นเพียงเจ้าหนี้ที่ขอรับชำระหนี้รายเดียว จึงถือได้ว่าหนี้สินของบุคคลล้มละลายได้ชำระเต็มจำนวนแล้วตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 135(3) จำเลยย่อมพ้นจากภาวะล้มละลาย พิพากษากลับให้ยกเลิกการล้มละลายแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาด ลูกหนี้ฎีกาลูกหนี้จะต้องขอถอนฎีกาและศาลอนุญาตเสียก่อน จึงจะได้รับประโยชน์ตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังนั้น พิจารณาแล้วเห็นว่าแถลงการณ์กระทรวงการคลังตามภาพถ่ายท้ายคำร้องของลูกหนี้ ระบุว่า” ฯลฯรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาศัยอำนาจตามมาตรา 3 อัฏฐ แห่งประมวลรัษฎากรจึงขยายเวลาชำระและนำส่งภาษีอากร เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มิได้เสียภาษีอากร ฯลฯ ได้ยื่นชำระภาษีอากร ฯลฯ ให้ถูกต้องครบถ้วน โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มใด ๆ ฯลฯ ทั้งนี้ตามเงื่อนไข และเวลาดังต่อไปนี้
ฯลฯ
ข้อ 4 ในกรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากร ฯลฯ รับแจ้งการประเมินฯลฯ ก่อนวันที่ที่ลงในแถลงการณ์นี้ แต่ยังมิได้ชำระภาษีอากรให้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา ฯลฯในแบบแจ้งการประเมิน ฯลฯ นั้น และพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว หากได้นำภาษีอากรที่ค้างชำระอยู่นั้นไปชำระภายในระยะเวลาตามข้อ 7 แล้ว ผู้นั้นไม่ต้องเสียเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มใด ๆ สำหรับภาษีอากรส่วนที่ชำระนั้น
ถ้าภาษีอากรค้างนั้น ค้างอยู่ในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือต่อศาล ผู้เสียภาษีอากรต้องขอถอนอุทธรณ์หรือถอนฟ้องนั้น และได้รับอนุมัติเสียก่อน
ฯลฯ
ตามนี้จะเห็นได้ว่าในกรณีที่ผู้เสียภาษีอากรอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งของศาลที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีที่ผู้เสียภาษีอากรถูกฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลายนั้น หาอยู่ในเงื่อนไขตามแถลงการณ์ของกระทรวงการคลังที่ผู้เสียภาษีอากรจะต้องขอถอนอุทธรณ์ฎีกาและได้รับอนุมัติจากศาลเสียก่อนดังที่โจทก์ฎีกาไม่ กรณีของลูกหนี้ก็เช่นเดียวกันลูกหนี้มิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือต่อศาลในเรื่องการประเมินแต่ประการใด ดังนั้น ลูกหนี้จึงไม่อยู่ในเงือนไขตามแถลงการณ์ของกระทรวงการคลังดังกล่าว ฉะนั้นเมื่อลูกหนี้นำเงินเฉพาะภาษีอากร 88,806.33 บาทไปชำระให้โจทก์ตามที่สรรพากรจังหวัดนนทบุรีแจ้งมา ลูกหนี้ก็ได้รับประโยชน์โดยได้รับยกเว้นเงินเพิ่มและเบี้ยปรับทั้งหมดตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังที่กล่าวข้างต้นลูกหนี้จึงชำระหนี้ภาษีอากรค้างให้โจทก์ครบถ้วนแล้วที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีในปัญหาข้อนี้มาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ข้อที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกาว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว หากลูกหนี้จะชำระหนี้ก็จะต้องชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 จะไปชำระต่อเจ้าหนี้ไม่ได้นั้นศาลฎีกาเห็นว่า ที่กฎหมายบัญญัติไว้เช่นนั้นก็เพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้ทั้งหลายที่จะได้รับชำระหนี้โดยเสมอภาค แต่คดีนี้ลูกหนี้มีเจ้าหนี้คือโจทก์เพียงรายเดียว การที่ลูกหนี้ชำระหนี้ให้โจทก์โดยตรงจึงไม่ก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นแต่ประการใดทั้งมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการที่ลูกหนีำระหนี้โดยผ่านเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพราะเมื่อรับชำระหนี้ไว้แล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ต้องชำระให้โจทก์ ดังนั้น การที่ลูกหนี้ชำระหนี้ให้โจทก์ในกรณีเช่นนี้จึงเท่ากับเป็นการชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22บัญญัติไว้เช่นกัน เมื่อหนี้สินของลูกหนี้เป็นอันได้ชำระเต็มจำนวนแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายต่อไป…”
พิพากษายืน.